|
|
บอนสี Caladium บอนสี เป็นไม้ประดับที่มีความสวยงามโดยเฉพาะใบที่มีรูปทรงและสีสันสวยงามแปลกตาจนได้ชื่อว่าเป็น ''ราชินีแห่งไม้ใบ'' เป็นพืชในวงศ์ Araceae สกุล Caladium มีถิ่นกำเนิดแถบทวีปอเมริกาใต้และประเทศในเขตร้อนทั่วไป บอนสีเป็นไม้ประเภทล้มลุกที่มีหัวสะสมอาหารอยู่ใต้ดินคล้ายหัวเผือกหรือมัน มีรากเป็นเส้นฝอยเล็กๆแทงออกมาระหว่างหัวกับลำต้นและพักตัวในฤดูหนาวโดยจะทิ้งใบจนหมดและเริ่มผลิใบเจริญเติบโตอีกครั้งในฤดูฝน บอนสี หรือที่เรียกกันแต่เดิมว่า ''บอนฝรั่ง'' (Caladium Becolor) จากชื่อทำให้คาดเดาได้ว่าเป็นพืชที่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย จากหลักฐานพอสรุปได้ว่าบอนสีปลูกเลี้ยงกันในต่างประเทศมานานกว่า 300 ร้อยปีแล้ว มีการสันนิษฐานว่า บอนสีบางต้นมีผู้นำเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมีการติดต่อค้าขายกับชาวจีน ชวา เปอร์เซีย และมีความสัมพันธุ์กับชาวยุโรปเป็นอย่างดี จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเสด็จนิวัตพระนครหลังเสด็จประภาสยุโรป ราวปี พศ. 2444 ทรงนำพันธุ์ไม้หลายชนิดจากยุโรปเข้ามาปลูกในประเทศไทย ในจำนวนพันธุ์ไม้เหล่านี้มีบอนฝรั่งหรือบอนสีรวมอยู่ด้วย ในช่วงแรกปลูกเลี้ยงกันเฉพาะในกลุ่มของเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และมักปิดบังวิธีการปลูกเลี้ยงและการผสมพันธุ์บอน จนกระทั่งความนิยมปลูกเลี้ยงบอนสีเสื่อมลง บอนสีพันธุ์ต่างๆ จึงได้แพร่หลายสู่ประชาชนทั่วไป ลักษณะโดยทั่วไป การปลูกเลี้ยงบอนสีได้มีต่อเนื่องกันตลอดมาจนถึงประมาณปี พศ. 2470-2475 เป็นช่วงที่บอนสีได้รับความนิยมมากที่สุด มีการผสมพันธุ์บอนขึ้นใหม่มากมาย มีสีสันสวยงามแปลกตาต่างไปจากบอนสีดั้งเดิม มีการแลกเปลี่ยซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย มีการตั้งชื่อแยกหมวดหมู่ตามลักษณะและสีสันของใบออกเป็นกลุ่มๆ เรียกว่า ''ตับ'' นอกจากนี้ยังมีการจัดประกวดบอนสีที่ ''สนามบาร์ไก่ขาว'' หลังจากปี พศ. 2475 บอนสีก็ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลง จนกระทั่งราวปี พศ. 2508 มีผู้สั่งบอนใบยาวจากสหรัฐเข้ามาในประเทศไทย ทำให้มีการผสมพันธุ์บอนสีพันธุ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก บอนสีกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งราวปี พศ. 2522-2525 มีการจัดตั้ง สมาคมบอนสีแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริม อนุรักษ์และพัฒนาการปลูกเลี้ยงบอนสีรวมถึงการรับจดทะเบียนชื่อบอนสีที่ได้รับการผสมขึ้นใหม่ และด้วยความสามารถของคนไทย ปัจจุบันการปลูกเลี้ยงบอนสีได้มีการพัฒนาวิธีการปลูกเลี้ยงและสายพันธุ์ให้มีสีสันสวยงามแปลกตาไปจากเดิมมาก จนอาจกล่าวได้ว่าบอนสีคือบอนของคนไทย ลักษณะโดยทั่วไป หัว มีลักษณะคล้ายหัวมันฝรั่งหรือหัวเผือก มีรากฝอยขนาดเล็กแตกออกรอบๆหัว และที่ใกล้ๆ กับรากหรือระหว่างรากจะมีหน่อเล็กๆ หรือที่เรียกกันว่า เขี้ยว ซึ่งสามารถงอกออกเป็นบอนต้นใหม่ได้ กาบและก้านใบ คือส่วนที่ต่อจากหัวบอน กาบเป็นส่วนโคนของก้านใบ แต่ไม่กลมเหมือนก้านใบ คือมีลักษณะเป็นกาบคล้ายกาบของใบผักกาดเป็นที่พักของใบอ่อน ส่วนก้านใบคือส่วนที่ต่อจากกาบใบขึ้นไปยังใบบอน ที่กาบและก้านใบนี้จะมีลักษณะของสีที่แตกต่างไปจากสีของกาบและใบอย่างเห็นได้ชัด ลักษณะของสีนี้เรียกแตกต่างกันไป ดังนี้ สะพาน มีลักษณะเป็นเส้นขีดเล็กๆ ยาวจากกาบไปตลอดแนวก้านใบขึ้นไปจรดคอใบ ถ้าอยู่ด้านหน้าเรียกสะพานหน้า ถ้าอยู่ด้านหลังเรียกสะพานหลัง เสี้ยน มีลักษณะเป็นจุด เป็นขีด หรือเส้นเล็กๆ สั้นยาวไม่เท่ากันและมีสีต่างกับก้าน กระจายอยู่รอบๆ ก้านใบ สาแหรก มีลักษณะเป็นเส้นเล็กๆ บริเวณโคนก้านใบหรือกาบใบ วิ่งจากบริเวณโคนของกาบใบไปตามก้านใบเป็นเส้นสั้นๆ ไม่ยาวเหมือนสะพาน อาจเป็นเส้นเดี่ยว เส้นคู่ หรือหลายเส้นก็ได้ แข้ง คือส่วนที่ยื่นออกจากก้านใบ คล้ายใบเล็กๆอยู่กึ่งกลางก้านหรือต่ำกว่าใบจริง อาจมี 1 หรือ 2 ใบขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และมักพบในบอนสีประเภทใบกาบ คอใบ คือ ช่วงปลายของก้านใบไปถึงสะดือใบ สะดือ คือ ส่วนปลายสุดของก้านใบจรดกับกระดูก กระดูก คือ เส้นกลางใบที่ลากจากสะดือไปจนสุดปลายใบ เส้น คือ เส้นใบย่อยที่แยกจากกระดูกหรือเส้นกลางใบ ใบ ของบอนสีมีขนาดและรูปแบบของใบแตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถแบ่งรูปแบบของใบได้ 4 ลักษณะ คื บอนใบไทย เป็นบอนสีที่มีมาแต่โบราณ มีรูปร่างคล้ายหัวใจ หูใบยาวแต่ไม่ฉีกถึงสะดือ ก้านใบอยู่กิ่งกลางใบ ปลายใบแหลมหรือมนขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ บอนใบไทยมักมีใบขนาดใหญ่ สีสรรสวยงาม และใบดกไม่ทิ้งใบ บอนใบกลม เป็นบอนที่นับได้ว่าเกิดขึ้นโดยฝีมือคนไทย เกิดขึ้นโดยการผ่าหัวขยายพันธุ์ของบอนใบไทยเมื่อนำมาปลูกเลี้ยงแล้วเกิดผิดแผกไปจากต้นเดิม คือมีลักษณะใบกลมขึ้นกลายเป็นบอนใบกลม ปลายใบมนสม่ำเสมอ และมีก้านใบอยู่บริเวณกิ่งกลางใบ บอนใบกาบ เป็นบอนที่มีก้านใบแผ่แบนตั้งแต่โคนใบจนถึงคอใบ ลักษณะคล้ายใบผักกาด บอนใบยาว ซึ่งแต่เดิมเรียกว่าบอนใบจีน มีรูปใบเรียวหรือป้อม หูใบสั้นกลมฉีกถึงสะดือ ก้านใบอยู่ตรงรอยหยักบริเวณโคนใบพอดี บอนใบยาวแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ 1. ใบยาวธรรมดา เป็นบอนที่มีใบยาว ปลายเรียวแหลม หูใบยาวกลมคล้ายใบโพธิ์ บางพันธุ์มีสะโพกกว้าง 2. ใบยาวรูปหอก เป็นบอนที่มีใบเรียว ปลายใบเรียวแหลม หูใบสั้นหรือบางพันธุ์ไม่มีหูใบเลย 3. ใบยาวรูปใบไผ่ เป็นบอนที่มีใบแคบเรียวยาวเป็นเส้น ปลายใบเรียวแหลม ไม่มีหูใบ มีลักษณะคล้ายใบของต้นไผ่ พื้นใบ คือ ส่วนหน้าของใบทั้งหมด บนพื้นใบนี้จะเห็นลักษณะของสีที่แตกต่างกันไปตามพันธุ์ของบอนสี ซึ่งเรียกต่างกันไปดังนี้ เม็ด คือ จุดหรือแต้มสีบนใบ มีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน และมีสีต่างจากสีของพื้นใบ มีลักษณะของสีและขนาดแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และมีลักษณะต่างๆกัน ดังนี้ - เม็ดลอย คือ จุดหรือแต้มสีบนใบ ที่มีสีต่างกับสีพื้นใบ อย่างชัดเจน - เม็ดจม คือ จุดหรือแต้มสีบนใบ ที่มีสีกลมลกืนกับสีพื้นใบ - เม็ดใหญ่ คือ จุดหรือแต้มสีที่มีขนาคใหญ่กระจายทั่วใบ - เม็ดเล็ก คือ จุดหรือแต้มสีที่มีขนาคเล็กกระจายทั่วใบ - เม็ดถี่ คือ จุดหรือแต้มสีที่กระจายถี่ๆ อยู่ทั่วใบ - เม็ดห่าง คือ จุดหรือแต้มสีที่กระจายห่างๆ อยู่ทั่วใบ วิ่งพร่า คือ เส้นเล็กๆ ที่มีสีต่างไปจากกระดูกหรือเส้น และวิ่งขนานไปทั้งสองข้างของกระดูกและเส้น เช่น กระดูกเขียว เส้นเขียว และมีเส้นสีขาวขนานไปทั้งสองข้างของกระดูกและเส้น ลักษณะนี้เรียกว่า กระดูกเขียว เส้นเขียว วิ่งพร่าขาว หนุนทราย คือ จุดสีเม็ดเล็กๆ ละเอียดมากคล้ายเม็ดทราย กระจายทับบนสีของพื้นใบ จนมองคล้ายมีสองสี เช่น พื้นใบสีชมพู แต่จะไม่เป็นสีชมพูอย่างชัดเจน เพราะมีเม็ดสีเขียวละเอียด ๆ กระจายกระจายทั่วพื้นใบ ลักษณะนี้เรียกว่า พื้นใบสีชมพูหนุนทรายเขียว ปาย คือ บอนที่มีบริเวณของสีอื่นที่ต่างไปจากสีของพื้นใบอย่างเห็นได้ชัดป้ายทับอยู่ เช่น บอนที่มีพื้นใบสีเขียวแล้วมีสีแดงป้ายทับ พื้นใบเขียวป้ายแดง หูใบ คือช่วงส่วนล่างของใบที่ยื่นออกจากสะดือใบแยกออกเป็นสองส่วน สั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับพันธุ์ของบอนสี บางพันธุ์ก็ไม่มีหูใบเลย หูใต้ใบ คือส่วนที่เป็นติ่งเล็กๆ ยื่นออกมาจากใต้ใบบริเวณกระดูกหรือเส้นกลางใบ พบเห็นได้เฉพาะบอนสีบางพันธุ์เท่านั้น สะโพก คือส่วนด้านข้างของใบทั้งสองข้าง อยู่บริเวณเหนือหูใบหรือแนวตรงกับสะดือใบ มีลักษณะเว้าคอดลง จะเห็นได้ชัดเจนในบอนใบไทย การปลูกเลี้ยงและดูแลรักษา ดิน ควรเป็นดินที่มีความร่วนซุย ระบายน้ำและอากาศได้ดี มีอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารสูง มีส่วนผสมของขุยไผ่ ใบทองหลาง ใบมะขาม หรือใบก้ามปูที่ผุแล้ว น้ำ บอนสีเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก จึงควรให้น้ำสม่ำเสมอ ถ้าต้นบอนขาดน้ำจะชะงักการเจริญเติบโต ไม่สดใส การรดน้ำควรรดวันละ 2 ครั้งตอนเช้าและตอนเย็น ไม่ควรใช้สายยางฉีดน้ำที่โคนต้นเพราะจะทำให้กระทบกระเทือนอาจทำให้ต้นและใบของบอนสีฉีกขาดและหักได้ ถ้าปลูกในกระถางควรมีจานรองกระถางใส่น้ำไว้เสมอ แสงแดด สีผลต่อสีสันและลวดลายของใบบอนมาก ถ้าบอนสีได้รับแสงแดดน้อยเกินไปจะทำให้ใบบอนมีสีซีดไม่สวยงาม ถ้าได้รับแสงแดดมากจะทำให้ใบมีสีสด เข้ม และลวดลายลวยงาม แต่ถ้าได้รับแสงแดดจัดเกินไปอาจทำให้ใบห่อเหี่ยวและเป็นรอยไหม้ได้ ดังนั้นแสงแดดที่เหมาะสมในการเลี้ยงบอนคือแสงแดดรำไรในตอนเช้าหรือช่วงบ่ายที่ไม่ร้อนจัด หรืออาจใช้ที่พรางแสง 50-70% ช่วยก็ได้ ความชื้นในอากาศ บอนเป็นพืชที่ต้องการความชื้นในอากาศสูง ในฤดูหนาวและฤดูร้อนความชื้นในอากาศต่ำหัวบอนจะพักตัวและทิ้งใบหมด เมื่อถึงฤดูฝนความชื้นในอากาศสูงบอนจึงจะเริ่มผลิใบเติบโตอีกครั้ง เพื่อป้องกันการพักตัวของบอนในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนจึงมีการปลูกเลี้ยงบอนในตู้หรือในกระโจม การให้ปุ๋ย ปุ๋ยอินทรีย์ควรใช้ปุ๋ยคอกมูลหมูและมูลไก่ ส่วนมูลวัวเมื่อใช้ไปนานๆ จะทำให้ดินเละทำให้หัวเน่าได้ง่าย ปุ๋ยเคมีใช้สูตรเสมอ เช่น 16-16-16 ในอัตราต่ำๆ จะช่วยให้ใบดกและสีสันสวย ถ้าใส่มากจะทำให้ชั้นใบห่างเกินไป ไม่ควรใช้ปุ๋ยละลายน้ำที่ให้ทางใบเพราะอาจทำให้ใบเป็นรอยไหม้ได้ เนื่องจากผิวใบของบอนสีบอบบาง การขยายพันธุ์ การแยกหน่อ เป็นวิธีการขยายพันธุ์บอนที่ไม่ยุ่งยากและบอนต้นใหม่ที่ได้จะเหมือนต้นเดิมทุกประการคือไม่มีการกลายพันธุ์ไปจากเดิม การแยกหน่อควรทำในฤดูฝนเพราะเป็นช่วงที่พ้นระยะพัก บอนต้นใหม่ที่แยกจะเติบโตและแข็งแรงได้เร็ว การแยกหน่อมีวิธีปฏิบัติดังนี้ เลือกต้นบอนที่สมบูรณ์และมีหน่อแตกใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วบอนที่มีอายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไปจะเริ่มแตกหน่อและผลิใบใหม่ สามารถแยกหน่อไปปลูกใหม่ได้ นำต้นบอนมาล้างหัวให้สะอาด อย่าให้ผิวถลอกหรือช้ำเพราะจะทำให้หัวเน่าได้ง่าย ใช้มีดที่คมและสะอาดเฉือนหน่อใหม่ที่ต้องการแยกออกจากหัวเดิม ทาปูนแดงตรงรอยผ่า ผึ่งให้แห้ง นำหน่อที่แยกออกมาปลูกลงในกระถางขนาดเล็ก รดน้ำให้ชุ่ม วางไว้ในที่มีแสงรำไร ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ใบใหม่จึงจะเริ่มผลิออกมา การผ่าหัวบอน คือการนำหัวบอนมาผ่าแบ่งเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาชำในวัสดุชำให้เกิดเป็นต้นใหม่ การผ่าบอนเป็นวิธีที่นิยมทำกันมากเพราะสามารถขยายพันธุ์ได้ต้นบอนจำนวนมากในเวลาอันสั้น แต่การผ่าบอนมักทำให้เกิดการกลายพันธุ์ไปจากต้นเดิม เรียกว่า ''บอนแผลง'' การผ่าบอนควรทำในฤดูฝนเพราะเป็นช่วงที่พ้นระยะพักตัวของบอนไปแล้วและอากาศมีความชื้นสูง ทำให้ต้นใหม่ที่ได้ผลิใบได็เร็วกว่าฤดูอื่น การผ่าบอนมีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1. เลือกบอนที่มีอายุไม่แก่หรืออ่อนเกินไป ควรมีอายุประมาณ 6-12 เดือน เพราะถ้าหัวบอนแก่เกินไปชิ้นบอนจะเน่าง่าย ถ้าอ่อนเกินไปต้นใหม่ที่ได้จะไม่แข็งแรง 2. งดให้น้ำประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้บอนสร้างหัวและเขี้ยว 3. นำหัวบอนมาล้างให้สะอาด พร้อมทั้งตัดรากออกให้หมด ใช้แปรงเล็กๆ ขัดดินออกให้หมด ระวังอย่าให้เขี้ยวหัก แล้วผึ่งลมให้แห้ง การผ่าหัวบอนทำได้สองวิธ๊คือ 1. แบบไม่ล้มต้น คือการนำหัวบอนมาตัดเฉพาะบริเวณที่มีเขี้ยวติดอยู่และเหลือหัวเดิมไว้ปลูกต่อได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมมากเพราะสามารถเก็บต้นพันธุ์ไว้ได้ การผ่าให้ใช้มีดที่คมและสะอาดกรีดหัวบริเวณที่มีเขี้ยวติดอยู่กว้างยาวประมาณ 1 ซม. หนาประมาณ 0.5 ซม. นำชิ้นบอนมาล้างให้สะอาดเพื่อนำไปชำต่อไป สำหรับหัวบอนที่เหลืออยู่ติดกับต้นให้ทาบริเวณรอยผ่าด้วยปูนแดง ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วนำไปปลูกลงกระถางต่อไป 2. แบบล้มต้น คือการนำหัวบอนมาตัดลำต้นและใบออกให้หมดลแล้วนำหัวบอนมาผ่า วิธีนี้จะไม่เหลือต้นพันธุ์ไว้แต่จะได้ชิ้นบอนสำหรับชำมากกว่า การผ่าให้ใช้มีดที่คมและสะอาดตัดใบออกโดยไม่ให้แกนกลางของหัวที่เรียกว่า ''จอม'' หัก ผ่าหัวส่วนบนในแนวนอน ให้มีเนื้อหนาประมาณ 0.5 ซม. แล้วแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดประมาณ 0.5 ซม.โดยให้แต่ละชิ้นมีเนื้อแกนกลางของหัวติดอยู่ในลักษณะเดียวกับการตัดแบ่งขนมเค้ก สำหรับหัวบอนส่วนล่างที่เหลือให้นำมาผ่าแบ่งบริเวณที่มีเขี้ยวติดอยู่เช่นเดียวกับการผ่าแบบไม่ล้มต้น นำชิ้นบอนมาล้างให้สะอาดเพื่อนำไปชำต่อไป นำชิ้นบอนที่ได้จากการผ่ามาล้างในน้ำสะอาด หรือน้ำที่ผสมยาป้องกันเชื้อรา ประมาณ 5 นาที เพื่อล้างยางออกให้หมด ผึ่งให้แห้งพอหมาด นำชิ้นบอนที่ล้างสะอาดแล้วไปชำในภาชนะที่มีวัสดุชำซึ่งอาจใช้ ทราย อิฐมอญทุบละเอียด หรือขี้เถ้าแกลบ อย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นวัสดุชำ วางชิ้นบอนลงบนวัสดุชำให้ห่างกันพอสมควร จะวางคว่ำหรือหงายก็ได้ กดชิ้นบอนให้จมวัสดุชำเล็กน้อย รดน้ำหรือน้ำผสมยาป้องกันเชื้อราให้ชุ่ม ปิดภาชนะด้วยพลาสติกใสหรือกระจกใส นำไปไว้ในที่ร่มแสงส่องไม่ถึง ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ชิ้นบอนจะเริ่มแตกหน่อและราก และอีกประมาณ 2 เดือน ชิ้นบอนจะผลิใบ 1-2 ใบ จึงย้ายลงปลูกในกระถางต่อไป การเพาะเมล็ด คือการนำเมล็ดที่ได้จากการผสมเกสรมาเพาะให้เกิดต้นใหม่ วิธีนี้นิยมปฏิบัติเมื่อต้องการบอนลูกผสมที่มีลักษณะแตกต่างจากต้นพ่อและต้นแม่ ซึ่งอาจดีกว่าหรือด้อยกว่าต้นพ่อต้นแม่ก็ได้ วิธีการเพาะเมล็ดมีดังนี้ นำเมล็ดแก่มาผึ่งลมให้แห้ง ประมาณ 2-3 ชม. ไม่ควรตากแดดหรือล้างน้ำเพราะเมล็ดอาตายได้ เมื่อเมล็ดแห้งแล้วอาจนำไปเพาะทันทีหรือภายใน 7 วัน โดยการใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น นำเมล็ดมาโรยบนวัสดุที่ใช้ในการเพาะ ซึ่งอาจใช้ทรายผสมขี้เถ้าแกลบหรือดินร่วนผสมใบไม้ผุในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน รดน้ำที่ผสมด้วยยาป้องกันเชื้อราแล้วนำไปตั้งไว้ในที่ร่ม รักษาระดับความชื้นไว้อย่าให้แห้วหรือแฉะเกินไป ประมาณ 15 วัน เมล็ดจะเริ่มงอกใบเลี้ยง เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 2 เดือน จึงย้ายลงปลูกในกระถางเพื่อคัดเลือกพันธุ์ต่อไป การผสมพันธุ์ ดอกของบอนสีเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ประกอบด้วยช่อดอกหรือปลีมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก และกาบหุ้มดอกหรือกาบหุ้มปลีสีเขียวอ่อนหุ้มช่อดอกไว้ภายใน ระหว่างความยาวของกาบหุ้มปลีดอกบริเวณส่วนกลางจะคอดลงคล้ายแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนบนเป็นที่อยู่ของเกสรตัวผู้ ส่วนล่างเป็นที่อยู่ของเกสรตัวเมีย หลังจากออกดอกแล้วประมาณ 1 เดือน เกสรตัวเมียจะบานก่อนในคืนแรกประมาณ 19.00-20.00 น. และมีกลิ่นหอม เกสรตัวผู้จะบานในคืนถัดไปเวลาประมาณ 19.00-21.00 น. มีกลิ่นหอมเหมือนคืนแรก กาบหุ้มดอกจะบานออกเห็นเกสรตัวผู้เป็นผงสีเหลืองอ่อนอยู่ตอนบนของปลีดอก เมื่อเกสรตัวผู้ของบอนต้นที่คัดเลือกไว้เป็นพ่อพันธุ์บานให้ใช้พู่กันขนาดเล็กที่สะอาดป้ายเกสรตัวผู้ใส่ภาชนะทึบแสงที่แห้งและสะอาด ปิดฝาให้สนิทเก็บไว้ในที่ชื้นหรือในตู้เย็น เกสรตัวผู้สามารถเก็บไว้ได้ 10-15 วัน เมื่อดอกของบอนต้นที่คัดเลือกไว้สำหรับเป็นแม่พันธุ์บานและมีกลิ่นหอมพร้อมที่จะผสมพันธุ์ ให้ใช้มีดคมปลายแหลมที่สะอาดปาดที่กลีบหุ้มเกสรตัวเมีย ให้เป็นช่องใหญ่พอที่จะใช้พู่กันขนาดเล็กสอดเข้าไปได้ ใช้พู่กันขนาดเล็กและสะอาดแตะเอาเกสรตัวผู้ในภาชนะที่เก็บไว้สอดเข้าไปในรังไข่หรือกระเปาะเกสรตัวเมียแล้วป้ายเกสรตัวเมีย เพื่อให้มีการผสมเกสร หลังจากที่ทำการผสมเกสรแล้วให้ใช้ถุงพลาสติกที่มีขนาดโตกว่าดอกบอน เจาะรูระบายอากาศเล็กๆ 2-3 รู คลุมดอกบอนไว้ มัดปากถุงพอแน่น เพื่อป้องกันน้ำและแมลงเข้าไปรบกวนดอกบอน ประมาณ 7 วันถ้าดอกเหี่ยวแสดงว่าการผสมไม่ได้ผล หากผสมติดดอกบอนจะใหญ่ขึ้นกว่าปกติ ปลีเกสรตัวผู้จะแห้ง บริเวณรังไข่จะมีผลบอนลักษณะคล้ายเมล็ดข้าวโพดสีดำเล็กๆ เกาะอยู่โดยรอบคล้ายฝักข้าวโพด แต่ละฝักจะมีผลอยู่ประมาณ 100 ผล และในแต่ละผลจะมีเมล็ดประมาณ 1-5 เมล็ด ประมาณ 30 วันหลังจากผสมเกสรผลจะร่วง ให้นำผลมาบี้กับกระดาษหรือจานเพื่อให้เมล็ดที่อยู่ภายในกระจายออก นำเมล็ดที่ได้ไปเพาะเมล็ดต่อไป |
คลิกดูเพิ่ม |
โดย: งาน: งานห้องสมุด อ้างอิงแผนงาน : - อ้างอิงโครงการ : - แหล่งที่มา: http://www.panmai.com/Caladium/Caladium.htm |
Vote | |
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อฉัน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
มีประโยชน์ต่อทุกคน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |