[ Home ]  [ Today 's Event ]  [ FAQ ]  [ บันทึกงาน ]
User: Passwd:
ค้นหาข้อมูล:

การปฐมพยาบาล--คนจมน้ำ

                                                                                                 จมน้ำ (Drowning)

จมน้ำ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยและมีความรุนแรงมักจะทำให้ตายในเวลาเพียงไม่กี่นาที มักเกิดกับเด็กเล็กและคนทีว่ายน้ำไม่เป็น อาจเกิดจากอุบัติเหตุ (เช่น ตกน้ำ เรือคว้ำ เรือชน) เมาเหล้า โรคลมชัก โรคหัวใจวาย หรืออื่นๆ คนที่จมน้ำมักจะตายเนื่องจากขาดอากาศหายใจเพราะสำลักน้ำ บางคนอาจตายเนื่องจากภาวะเกร็งของกล่องเสียง (Laryngospasm) ทำให้หายใจไม่ได้สาเหตุเหล่านี้มักจะทำให้คนที่จมน้ำตายภายใน 5 - 10 นาที คนที่จมน้ำถึงแม้จะรอดมาได้ในระยะแรก แต่ก็อาจจะตายเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนในภายหลังได้ เช่น ปอดอักเสบ , การเปลี่ยนแปลงของระดับเกลือแร่ในร่างกายภาวะเลือดเป็นกรด,ภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema ) ภาวะปอดไม่ทำงาน (ปอดล้ม ปอดวาย) เป็นต้น ภาวะเหล่านี้มักเกิดขึ้นไม่ต่างกันมากนักทั้งในพวกที่จมน้ำจืด(แม่น้ำ ลำคลอง บ่อ สระน้ำ) และพวกที่จมน้ำทะเล รวมทั้งอาการแสดงและการรักษาก็ไม่ต่างกันมาก ข้อแตกต่าง คือ น้ำจืดจะมีความเข้มข้นน้อยกว่าเลือด(พลาสมา) ดังนั้น ถ้ามีน้ำจมอยู่ในปอดจำนวนมาก ก็จะถูกดูดซึม เข้ากระแสเลือดทันที ทำให้ปริมาตรของเลือดที่ไหล เวียนเพิ่มจากเดิม (hypervolemia) มีผลทำให้ระดับเกลือแร่ (เช่น โซเดียม โพแทสเซียม)ในเลือดลดลง ซึ่งอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจวายได้ นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (hemolysis) ได้อีกด้วย ส่วนน้ำทะเลจะมีความเข้มข้นน้อยกว่าเลือด น้ำทะเล ที่สำลักอยู่ในปอดจะถูกดูดซึมน้ำเลือด (พลาสมา) จากกระแสเลือดเข้าไปในปอด ทำให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema) ระบบไหลเวียนมีปริมาตรลดลง(hypovelemia) และระดับเกลือแร่ในเลือดเพิ่มสูงขึ้นทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจวายหรือเกิดภาวะช็อกได้ แต่อย่างไรก็ตาม คนที่จมน้ำมักตายเนื่องจากขาดอากาศหายใจมากกว่า การเปลี่ยนแปลงของระดับเกลือแร่และปริมาตรของเลือด

อาการ
คนที่จมน้ำมักจะมีอาการหมดสติ และหยุดหายใจบางคนหัวใจอาจหยุดเต้น(คลำชีพจรไม่ได้) ร่วมด้วย ถ้าไม่ถึงกับหมดสติ ก็อาจมีอาการปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อาเจียน กระวนกระวาย หรือไอมีฟองเลือดเรื่อๆ (ซึ่งแสดงว่ามีภาวะปอดบวมน้ำ) บางคนอาจตรวจพบภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันเลือดต่ำ หรือภาวะช็อก

การปฐมพยาบาล
การช่วยเหลือคนที่จมน้ำอย่างถูกต้องก่อนส่งไปโรงพยาบาล มีผลต่อความเป็นความตายของผู้ป่วยมากควรแนะนำวิธีปฐมพยาบาลดังนี้ 
1. ถ้าผู้ปวยหยุดหายใจ ให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจทันที อย่ามัวเสียเวลาในการพยายามเอาน้ำออกจากปอดของผู้ป่วย(เช่น การจับแบกพาดบ่า) หรือทำการผายปอดด้วยวิธีอื่น เพราะจะไม่ทันกาลและไม่ได้ผล ถ้าเป็นไปได้ ควรลงมือเป่าปากตั้งแต่ก่อนขึ้นฝั่ง เช่น หลังจากพาขึ้นบนเรือหรือพาเข้าที่ตื้นๆ ได้แล้ว เมื่อขึ้นบนฝั่งแล้ว ให้ทำการผายปอดด้วยการเป่าปากต่อไป จนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เอง หรือพาไปส่งถึงโรงพยาบาลแล้ว วิธีการเป่าปากโดยละเอียดจะพูดถึงอยู่ในเรื่องของ ''หมดสติ'' เมื่อเริ่มเป่าปากสักพัก ถ้าหากรู้สึกว่าลมเข้าปอดได้ไม่เต็มที่เนื่องจากมีน้ำอยู่เต็มท้อง อาจจับผู้ป่วยนอนคว่ำแล้วใช้มือ 2 ข้างวางอยู้ใต้ท้องผู้ป่วย ยกท้องผู้ป่วยขึ้นจะช่วยไล่น้ำออกจากท้องให้ไหลออกจากปากได้ แล้วจับผู้ป่วยพลิกหงาย และทำการเป่าปากต่อไป
2. ถ้าคลำชีพจรไม่ได้ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้ทำการนวดหัวใจทันที (ดูจากโรค ''หมดสติ'') 
3. ถ้าผู้ป่วยยังหายใจได้เอง หรือช่วยเหลือจนหายใจได้แล้ว ควรจับผู้ป่วยนอนตะแคงข้าง และศีรษะหงายไปข้างหลัง เพื่อให้น้ำไหลออกทางปาก ใช้ผ้าห่มคลุมผู้ป่วย เพื่อให้เกิดความอบอุ่น อย่าให้ผู้ป่วยกินอาหารและน้ำดื่มทางปาก
4. ควรส่งผู้ป่วยที่จมน้ำไม่ว่าจะมีอาการหนักเบาเพียงใด ไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลทุกราย ในรายที่หมดสติและหยุดหายใจ ควรผายปอดด้วยวิธีเป่าปากไปตลอดทาง อย่าเพิ่งรู้สึกหมดหวังแล้วหยุดให้การช่วยเหลือ (เคยพบว่า การเป่าปากนานเป็นชั่วโมงๆ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยรอดและหายขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจมน้ำที่มีความเย็นอุณหภูมิต่ำกว่า 70 องศาพาเรนไฮด์ หรือ21 องซาเซลเซียส
การรักษา ควรรับผู้ป่วยไว้รักษา ที่โรงพยาบาลทุกรายไม่ว่าจะมีอาการหนักเบาเพียงใด เพื่อเฝ้าสังเกต ป้องกันและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ควรเจาะเลือดตรวจระดับแก๊สในเลือด และตรวจหาความเข้มของเกลือแร่ เอกซเรย์ดูว่ามีการอักเสบของปอด หรือปอดแฟบหรือไม่ หรือตรวจพิเศษอื่นๆ การรักษา ให้ออกซิเจน ต่อเครื่องช่วยหายใจ,ให้น้ำเกลือ พลาสมาหรือเลือด ถ้ามีภาวะหัวใจวายก็จะให้ยาขับปัสสาวะและยารักษาโรคหัวใจ (เช่น ลาน็อกซิน) ถ้ามีปอดอักเสบ จะให้ยาปฏิชีวนะ และสเตอรอยด์

ข้อแนะนำ
วิธีผ่ายปอดแก่ผู้ป่วยจมน้ำที่แนะนำในปัจจุบันคือวิธีเป่าปาก และให้ลงมือทำให้เร็วที่สุด อย่าเสียเวลาในการจับแบกพาดบ่าเพื่อเอาน้ำออกจากปอด ดังที่เคยแนะนำกันในสมัยก่อน ส่วนการผายปอดด้วยมือ เช่น วิธีของซิลเวสเตอร์(Silver method) หรือวิธีของโฮลเกอร์นีสเซน (Holgfger - Nielsen method) เป็นต้น ไม่แนะนำให้ทำ เพราะได้ผลน้อย 
ผู้ป่วยที่จมน้ำทุกรายไม่ว่าจะหมดสติหรือหยุดหายใจหรือไม่ก็ตาม ควรพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างน้อย 24 - 72 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในเวลาต่อมา

ควรหาทางป้องกันโดย
ระวังอย่าให้เด็กเล็กเล่นน้ำหรือเล่นในบริเวณใกล้กับน้ำตามลำพัง
ควรส่งเสริมให้เด็กฝึกว่ายน้ำให้เป็น
เวลาลงเรือหรือออกทะเล ควรเตรียมชูชีพไว้ให้พร้อมเสมอ
คนที่เมาเหล้า หรือเป็นโรคลมชัก ห้ามลงเล่นน้ำ





คลิกเพื่อดูรายละเอียด


โดย:
งาน: งานห้องสมุด
อ้างอิงแผนงาน : -
อ้างอิงโครงการ : -
แหล่งที่มา: http://www.rta.mi.th/4501bu/mom.html

ขอบคุณสำหรับการโวตท์
Vote
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง
เป็นประโยชน์ต่อฉัน
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน
มีประโยชน์ต่อทุกคน
บุคลากร 0 บุคคลภายนอก 0

อ่าน 0 ครั้ง