[ Home ]  [ Today 's Event ]  [ FAQ ]  [ บันทึกงาน ]
User: Passwd:
ค้นหาข้อมูล:

ไม้สัก

                                                                                                          ไม้สัก

ลักษณะทั่วไป
 
 ้สัก เป็นไม้ผลัดใบขนาดใหญ่    มีลำต้นปลายตรง มักมีพูพอนบริเวณโคนต้น เรือนยอดกลม  ลำต้นมีความสูงตั้งแต่ 20 เมตรขึ้นไป มีเปลือกหนาสีเทาหรือน้ำตาลอ่อน แกมเทา   มีใบขนาดใหญ่ กว้าง  20-30 ซม. ยาว 30-40 ซม. ดอกมีขนาดเล็กสีขาวนวล ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ บริเวณปลายกิ่งในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม  ผลสักรูปร่างค่อนข้างกลม   ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง1-2 ซม. ผลหนึ่ง ๆจะมีเมล็ด 1-4 เมล็ดโดยทั่วไปมักจะเรียกผลสัว่า “เมล็ดสัก”  ซึ่งเมื่อแก่จัดจะเป็นสีน้ำตาล
  ลักษณะเนื้อไม้สักจะมีสีน้ำตาลทอง (เรียกว่าสักทอง)   ถึงสีน้ำตาลแก่ และมักจะมีเส้นสีน้ำตาลแก่แทรก (เรียกว่าสักทองลายดำ) เนื้อไม้มีเสี้ยนตรง เนื้อหยาบ แข็งปานกลาง เลื่อยไสกบ ตกแต่งง่ายไม่ค่อยยึดหดหรือบิดงอง่ายเหมือนไม้ชนิดอื่น      มีความทนทานต่อการทำลายของมอดและปลวกตลอดจนเชื้อราได้ดี จึงมีความทนทาน ตามธรรมชาติสูง และมีลวดลายสวยงาม
 ในด้านการใช้ประโยชน์ไม้สัก ได้มีการแบ่งคุณลักษณะของไม้สักโดยพิจารณาจากสี
ของเนื้อไม้ การตกแต่ง ความแข็ง ความเหนียวของเนื้อไม้ออกเป็น 5 ชนิด คือ
1. สักทอง        - เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลทอง เสี้ยนตรง ตกแต่งง่าย
2. สักหิน          - เนื้อไม้สีน้ำตาลหรือสีจาง ตกแต่งง่าย
3. สักหยวก      - เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อน หรือสีจาง ตกแต่งง่าย
4. สักไข่           - เนื้อไม้สีน้ำตาลเข้มปนเหลือง มีไขปนยากแก่การตกแต่งและทาสี
5. สักขี้ควาย     - เนื้อไม้สีเขียวปนน้ำตาล น้ำตาลดำ ดูเป็นสีเลอะ ๆ 
ซึ่งลักษณะความแตกต่างของเนื้อไม้ดังกล่าวนี้เป็นเพียงประสบการณ์ของผู้ทำไม้เท่านั้นยังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามีผลมาจากพันธุกรรม หรือเกิดจากสภาพแวดล้อมที่มันขึ้นอยู่ เช่นชนิดของป่า ดิน หิน ปริมาณน้ำฝน ฯลฯ
 
                    การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติและถิ่นกำเนิด

ไม้สัก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในตอนใต้ของประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว (ส่วนที่ติดภาคเหนือของไทย)และอินโดนีเซีย สำหรับประเทศไทยนั้น ไม้สักจะขึ้นอยู่เป็นส่วนใหญ่ ในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ และบางส่วนของภาคกลางและเชียงราย ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี และกาญจนบุรี     ไม้สัก ชอบขึ้นตามพื้นที่ที่เป็นภูเขา หรือตามพื้นราบแต่ดินระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ท่วมขัง ซึ่งอาจจะเป็นดินร่วนปนทรายหรือดินที่มีความลึกมาก ๆ โดยเฉพาะดินที่ เกิดจากหินปูน ซึ่งแตกแยกผุพังจนกลายเป็นดินร่วนลึก ไม้สักจะเจริญเติบโตดีมาก

ไม้สัก มักขึ้นอยู่เป็นกลุ่มไม้สักล้วน ๆ เป็นหย่อม ๆ หรืออาจขึ้นปะปนอยู่กับไม้เบญจพรรณอื่น ๆ
เช่น ไม้แดง ไม้ประดู่ มะค่าโมง ชิงชัน ตะแบก ฯลฯ โดยมีไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ เป็นไม้ชั้นล่าง

ได้มีการนำไม้สักไปปลูกนอกเขตธรรมชาติอย่างแพร่หลายมาเป็นเวลานานแล้ว เช่น ที่พุแคจ.สระบุรี (2495), ดงบังอี่ จ.มุกดาหาร (2499), ไทยโยค จ.กาญจนบุรี (2497), วังสะพุง จ.เลย(2498), ช่องเม็ก อ.พิบูลย์มังสาหาร จ.อุบลราชธานี (2499), ดงลาน อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น (2500),อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา (2502), ชัยบาดาล ลพบุรี (2507), เขาสอยดาว จ.จันทบุรี (2509) ฯลฯ
ซึ่งก็ให้ผลแตกต่างกันไปตามลักษณะพื้นที่ที่นำไปปลูก
  
 ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม

ปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของไม้สัก ซึ่งอาจใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาคัดเลือกพื้นที่ในการปลูกไม้สัก พอสรุปได้ดังนี้
       1. ไม้สักจะเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มชื้นมากกว่าที่แห้งแล้ง ปริมาณน้ำฝน ที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตและมีเนื้อไม้งดงามของไม้สักอยู่ระหว่าง 1,000-2,000 มม. ต่อปีและฝนไม่ทิ้งช่วงนานเกินไปใน ระหว่างฤดูการเจริญเติบโต นอกจากนี้จะต้องมีช่วงฤดูแล้งที่ชัดเจน 3-4 เดือน
       2. อุณหภูมิที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของไม้สักอยู่ระหว่าง 25-35 ซม.
       3. ไม้สักเป็นไม้ที่ชอบแสงสว่าง ความเข้มของแสงที่เหมาะสม คือ 75-95% ของปริมาณแสงกลางวันที่ได้รับเต็มที่ การปลูกไม้สักจึงไม่ควรปลูกในร่มหรือใกล้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งอาจบดบังแสงแดดแก่ต้นที่ปลูกได้
       4. ดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของไม้สัก คือ เป็นดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ไม่เป็นดินดาน ดินค่อนข้างลึก ดินร่วนปนทรายหรือเป็นดินที่เกิดจากการผุสลายของหินปูนและมีค่า pH ประมาณ 6.5-7.5 ส่วนดินที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกไม้สัก คือ ดินเหนียว
ดินลูกรัง ดินทราย และที่มีน้ำท่วมขัง
        5. สภาพภูมิประเทศที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของไม้สัก โดยทั่วไปจะมีความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 700 เมตร เป็นพื้นที่ราบถึงลาดชันเล็กน้อย ไม่เกิน 15%
  
  การขยายพันธุ์และการผลิตกล้าเพื่อปลูก

การขยายพันธุ์ไม้สักอาจกระทำได้ทั้งโดยวิธีใช้เมล็ดและวิธีไม่อาศัยเมล็ด การใช้เมล็ดขยายพันธุ์เป็นวิธีที่ปฏิบัติโดยทั่วไปในการปลูกสร้างสวนป่า เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและเหมาะสมสำหรับผลิตกล้าหรือเหง้าสักจำนวนมาก ๆ สิ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือ เมล็ดที่ใช้ควรเก็บมาจากแม่พันธุ์หรือแหล่งพันธุ์ที่มีลักษณะดีหรือได้รับการปรับปรุงพันธุ์มาแล้ว เช่น แหล่งเก็บพันธุ์หรือสวนผลิตเมล็ดพันธุ์เท่านั้น

      สำหรับการขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเมล็ดนั้น เป็นวิธีการที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก   ต้องใช้เทคนิคและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง วิธีนี้ประกอบด้วยการติดตา การปักชำ และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ(Tissue Culture)      หากเป็นการขยายพันธุ์จาก ต้นที่ได้รับการคัดเลือกหรือผ่านขบวนการปรับปรุงพันธุ์มาแล้ว ก็จะได้กล้าไม้ที่มีลักษณะดีโตเร็ว และเมื่อนำไปปลูกจะเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอกันดี มีรูปทรงตามที่ต้องการการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด จะเริ่มต้นด้วยการเก็บหรือจัดหาเมล็ดพันธุ์ มาเพาะหว่านในแปลงเพาะ    ขนาดกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 20 เมตร หรือตามสภาพพื้นที่ โดยใช้เมล็ด 1 ลิตร   ต่อพื้นที่แปลงเพาะ 1 ตารางเมตร โดยพยายามหว่านให้เมล็ดกระจายอย่างสม่ำเสมอ    หรืออาจจะหว่านเป็นแถวในร่องบนแปลงเพาะซึ่งห่างกัน แถวละ 10 ซม. ก็ได้     แล้วกลบเมล็ดด้วยหน้าดิน หลังจากหว่านเสร็จก็มีการดูแลรักษา โดยการกำจัดวัชพืช ป้องกันโรคและแมลง ลิดใบ และใส่ปุ๋ย
ตามความจำเป็น  
 
       ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเพาะหว่านเมล็ดสัก คือ ช่วงเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคมหลังจากที่เมล็ดเริ่มงอก หากเกิดฝนทิ้งช่วงก็ควรรดน้ำช่วงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้กล้าไม้ตายหรือชงักการเจริญเติบโตกล้าไม้สักจะงอกและเจริญเติบโตอยู่ในแปลงเพาะเป็นเวลาประมาณ 1 ปีแล้วจึงถอนขึ้นมาตัดแต่งให้เป็นเหง้าโดยตัดส่วนของลำต้นออกให้เหลือตา  1-2 คู่ หรือยาวประมาณ 1-2 ซม.พร้อมทั้งตัดรากแขนงและปลายรากแก้วออก   เหลือแต่ส่วนของรากแก้วยาวประมาณ 15 ซม.          ซึ่งเมื่อตัดแต่งแล้วจะเรียกว่า“เหง้าสัก”    สำหรับใช้ในการปลูกต่อไป      ขนาดของเหง้าที่เหมาะสมสำหรับปลูก    ควรมีเส้นผ่าศูนย์กลางตรงคอรากประมาณ 1-2  ซม.    สำหรับเหง้าขนาดเล็กควรนำไปปักชำในถุงพลาสติกเพื่อให้แตกเป็นต้นกล้าก่อน แล้วจึงนำไปปลูกต่อไป   






คลิกเพื่อดูรายละเอียด


โดย:
งาน: งานห้องสมุด
อ้างอิงแผนงาน : -
อ้างอิงโครงการ : -
แหล่งที่มา: http://www.forest.go.th/Private/teak1.htm

ขอบคุณสำหรับการโวตท์
Vote
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง
เป็นประโยชน์ต่อฉัน
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน
มีประโยชน์ต่อทุกคน
บุคลากร 0 บุคคลภายนอก 0

อ่าน 0 ครั้ง