|
|
ดินเปรี้ยว
เนื่องจากพื้นที่ที่ดินเปรี้ยวหรือดินที่มีระดับความเป็นกรดจัดส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม ซึ่งเหมาะแก่การทำนา แต่พื้นที่เหล่านี้ให้ผลผลิตอยู่ในระดับต่ำไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูง และในขณะเดียวกันทรัพยากรที่ดินมีอยู่อย่างจำกัด จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะได้มีการส่งเสริมให้มีการปรับปรุงและบำรุงดิน เพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเพียงพอต่อความต้องการของประชากร ความหมายของคำว่า ดินเปรี้ยว ดินเปรี้ยว (acid sulphate soils) หรือดินกรดจัด หมายถึงดินที่อาจจะมีหรือกำลังมีหรือเคยมีกรดกำมะถันอยู่ในชั้นหน้าตัดของดิน (soil profile) และจะมีลักษณะของจุดประสีเหลืองฟางข้าว (Jarosite) อยู่ในชั้นล่างด้วย ซึ่งดินมีสภาพเป็นกรดจัดเป็นปัญหา อุปสรรคต่อการปลูกพืช นอกจากนี้ยังมีดินสองประเภทซึ่งได้รวมอยู่ในดินเปรี้ยว คือ ๑. para-acid sulfate soils หรือ pseudo acid sulfate soils หมายถึง ดินซึ่งได้เกิดกรดกำมะถันขึ้นในชั้นหน้าตัดของดินแล้ว แต่ในระหว่างที่มีการเกิดกรดนี้ขึ้นนั้นส่วนใหญ่ของกรดได้ถูกชะล้างออกไป (leached0 หรือถูกทำงานไปจนเกลือปริมาณเพียงเล็กน้อยไม่เป็นอันตรายหรือเป็นปัญหากับพืช แต่ดินนี้ยังคงมีลักษณะของจุดประสีเหลืองฟางข้าวในชั้นดินล่างอยู่ ๒. potential acid sulfate soils หมายถึงดินซึ่งมีกำเนิดมาจากการตกตะกอนของน้ำทะเล มีปริมาณ ซัลไฟด์ (sulfide) โดยเฉพาะ ไพไรท์ (pyrite) สูงประมาณ ๑ - ๒.๕ % แต่จะมีปริมาณของตะกอนที่เป็นปูนและตะกอนแร่ต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นด่างต่ำ ดินนี้ยังคงอยู่ในสภาพน้ำขังหรือยังไม่มีการระบายน้ำ และยังไม่มีการทำปฏิกริยากับอากาศของไพไรท์เกิดขึ้น ชั้นของดินบนยังมีพีเอช (PH) เป็นกลางหรือด่างอย่างอ่อน (pH ๗.๐ – ๘.๐) อยู่ ถ้าเมื่อใดดินนี้ได้รับการระบายน้ำและมีการถ่ายเทอากาศดีเกิดขึ้นในชั้นของดิน ดินนี้จะกลายเป็นดินกรดจัดเนื่องจากมีกรดกำมะถันเกิดขึ้น การกำเนิดดินเปรี้ยว ดินเปรี้ยวเกิดจากการทับถมของตะกอนจากน้ำทะเลและน้ำกร่อยซึ่งบริเวณพื้นที่น้ำกร่อยมักจะมีพืชพวกแสม โกงกาง ลำพู จาก ขึ้นอยู่ทั่วไป เมื่อพืชเหล่านี้ตายจะกลายเป็นอินทรีย์วัตถุสะสมอยู่ในดินและมีจุลอินทรีย์ คือ Thiobacillus thiooxidans และ Thiobacillus ferrooxidans ซึ่งเจริญเติบโตได้ดีในอินทรีย์วัตถุเหล่านี้จะเปลี่ยนสารประกอบซัลเฟตในดินที่ได้รับจากน้ำทะเลให้กลายเป็นสารประกอบซัลไฟด์ นอกจากนั้นสารประกอบซัลไฟด์จะทำปฏิกริยากับธาตุเหล็กเกิดเป็นสารประกอบเหล็กซัลไฟด์ ( FeS) ต่อไปนาน ๆ สารประกอบเหล็กซัลไฟด์จะเปลี่ยนแปลงเป็นสารประกอบไพไรท์ ( FeS2 ) สะสมอยู่ในดินชั้นล่างและจะอยู่ลึกมากยิ่งขึ้นตามจำนวนตะกอนที่ทับถมเพิ่มขึ้น เมื่อบริเวณนี้แห้งสารประกอบไพไรท์จะทำปฏิกริยากับอากาศทำให้ได้สารประกอบเหล็กซัลเฟต Fe2(SO4 )3 และกรดกำมะถันสะสมในดินและหลังจากนั้นสารประกอบเหล็กซัลเฟตจะทำปฏิกริยากับน้ำต่อไปอีกครั้งจนเกิดกรดกำมะถันมากขึ้นอีกและสารสีเหลืองฟางข้าวที่เรียกว่าจาไรไซท์ในรูปของ Fe(OH)SO4 อยู่ในดินชั้นล่างการแสดงระดับความเป็นกรดและด่างของดินด้วยค่า pH ความเป็นกรดหรือความเป็นด่างของดินสามารถแสดงได้ด้วยค่า pH ซึ่งบอกถึงจำนวนไอออนของไฮโดรเจน ( H+ ion ) ในสารละลายในดิน ด้วยการใช้เครื่องมือหรือน้ำยาเคมี ถ้าค่า pH ของสารละลายดินน้อยกว่า ๗.๐ ดินนั้นจะแสดงความเป็นกรดและยิ่งแสดงเป็นกรดมาก เมื่อค่า pH ยิ่งน้อยเพราะค่า pH ที่มีค่าน้อยหมายถึงการมีไอออนของไฮโดรเจนซึ่งแสดงความเป็นกรดอยู่ในดินจำนวนมากนั่นเอง ลักษณะทั่วไปของดินเปรี้ยว ดินชั้นบนลึกตั้งแต่ ๒๐ - ๔๐ ลักษณะดินเป็นดินเหนียวจัด มีสีเทาหรือสีเทาเข้มถึงดำ มีจุดประสีน้ำตาลแก่ สีแดงปนเหลืองและสีแดง มี pH ประมาณ ๔.๕ – ๖.๕ ส่วนดินชั้นล่างเป็นดินเหนียวที่มีสีพื้นเป็นสีน้ำตาลปนเทาถึงสีเทา มีจุดประสีเหลืองปนน้ำตาล สีแดงและสีเหลืองฟางข้าว ซึ่งดินจะแสดงความเป็นกรดมากกว่าชั้นบน มี pH ประมาณ ๓.๕ – ๓.๘ ดังนั้นดินจะเปรี้ยวมากหรือน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับดินชั้นล่างซึ่งมีจุดประสีเหลืองฟางข้าวว่าอยู่ใกล้หรือลึกจากผิวดิน เช่นดินชุดองค์รักษ์, ดินชุดรังสิต มีดินชั้นล่างอยู่ลึกจากผิวดิน ๔๐ ซม. จึงจัดเป็นดินเปรี้ยวจัด และดินชุดมหาโพธิ์, ดินชุดอยุธยา อยู่ลึกจากผิวดิน ๑.๐ เมตร จึงจัดเป็นดินเปรี้ยวน้อย เป็นต้น แหล่งดินเปรี้ยวในประเทศไทย จากการสำรวจพบว่าบริเวณดินเปรี้ยวในประเทศไทยมีประมาณ ๙ ล้านไร่ โดยปริมาณกรดในดินมีมากหรือน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น พบว่าในบริเวณภาคกลางมีดินเปรี้ยวอยู่มากครอบคุม หลายจังหวัด คือ อยุธยา ปทุมธานี กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา นครปฐม นครนายก สระบุรี สมุทรปราการ สุพรรณบุรี และชลบุรี คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๖ ล้านไร่ โดยเป็นดินเปรี้ยวจัด ๒ ล้านไร่ ส่วนบริเวณดินเปรี้ยวที่เหลืออยู่กระจัดกระจายตามบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงใต้ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำจันทบุรี และตามชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกและด้านตะวันออกของคาบสมุทรภาคใต้ โดยเฉพาะในท้องที่จังหวัดสงขลา นราธิวาส และปัตตานี รวมประมาณ ๓ ล้านไร่ คุณสมบัติของดินเปรี้ยวไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก ๑. ดินเปรี้ยวมักมีเนื้อดินเป็นดินเหนียวซึ่งทำให้คุณสมบัติทางกายภาพไม่ดี เนื่องจากมีการอัดตัวกันจนแน่น อากาศถ่ายเทได้ยากและการระบายน้ำออกตามธรรมชาติไม่ดีทำให้ดินแข็งเมื่อแห้งและนิ่มเละเป็นโคลนเมื่อเปียกน้ำ เป็นลักษณะดินไม่สะดวกในการใช้เครื่องมือและเครื่องทุ่นแรงในการเพาะปลูก ๒. ดินเปรี้ยวซึ่งมีกรดมดกจะเป็นสาเหตุให้ธาตุอาหารที่สำคัญของพืชในดิน เช่น N, P, K เปลี่ยนเป็นรูปสารประกอบที่ไม่ละลายน้ำ รากพืชไม่สามารถนำแร่ธาตุเหล่านั้นไปใช้ได้ ๓. ดินเปรี้ยวความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืชมีอยู่ในดินน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช ๔. ความเป็นกรดทำให้เกิดสารประกอบของเหล็ก มังกานีสและอลูมินัมละลายอยู่ในดินจนถึงระดับเป็นพิษต่อพืช ๕. ดินที่เป็นกรดจัดจะทำให้จุลินทรีย์ บักเตรี และราที่เป็นประโยชน์ต่อพืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้ การปรับปรุงดินเปรี้ยวมีอยู่ ๔ วิธี ๑. การใช้น้ำขังในแปลงนาแล้วระบายออกเป็นครั้งคราว เพื่อนำสารพิษออกจากดินและลดการเกิดกรด เช่น ก่อนปักดำให้มีน้ำขังอยู่ในแปลงนาประมาณ ๑ เดือนแล้วระบายออกและในพื้นที่เป็นกรดเพียงเล็กน้อยจนเกือบปานกลางการขังน้ำไว้นาน ๆ อาจจะเพียงพอต่อการเพิ่ม ด้วยวิธีการใช้น้ำขังในแปลงนาถ้าหากมีน้ำชลประทานเพียงพอสมควรอย่างยิ่งทำนา ๒ ครั้งตลอด จนช่วยลดปริมาณสารพิษต่าง ๆ ลงได้มาก ๒. การใส่ปูนมาร์ล ปูนมาร์ลหรือปูนขาว คือแคลเซี่ยมคาร์บอเนตมีลักษระร่วนซุยมีดินเหนียวและอินทรีย์วัตถุปะปนอยู่บ้างมากน้อยแตกต่างกันไปแต่ละแห่ง และยังมีแมกนีเซียมคาร์บอเนตผสมอยู่บ้างไม่มากนัก ปูนมาร์ลเกิดจากหินปูนสลายตัวเป็นตะกอนถูกน้ำพัดพามาตกตะกอนอยู่ในบริเวณหนองและบึงขนาดใหญ่ หรือพื้นที่ลุ่มที่มีน้ำขังนิ่ง ปูนมาร์ลช่วยปรับปรุงดินได้ดังนี้ ๑. เพิ่มแคลเซี่ยมซึ่งพืชต้องการให้กับดิน ๒. ลดความเป็นกรดให้น้อยลง ๓. ลดความเป็นพิษของสารในดินได้แก่ เหล็ก อลูมินัมทำให้เกลือน้อยลง ๔. ช่วยทำให้ขบวนการทางชีวภาพของจุลินทรีย์ในดินดีขึ้นจนเป็นประโยชน์แก่พืชที่ปลูก ๕. ปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดินให้ดีขึ้น จากการทดลองของกรมพัฒนาที่ดินจำนวนปูนมาร์ลที่ใส่สำหรับปรับปรุงให้เหมาะสมกับระดับความเป็นกรดหรือระดับ pH ของดิน เพื่อให้สามารถทำการเกษตรกรรมหรือการทำนาได้ผลผลิตสูงขึ้น ดินเปรี้ยวจัด pH ต่ำกว่า ๔.๐ ควรใส่ปูนมาร์ลในอัตรา ๑-๓ ตันต่อไร่ ดินเปรี้ยวปานกลาง pH ๔.๑ – ๔.๗ ควรใส่ปูนมาร์ลในอัตรา ๑-๒ ตันต่อไร่ ดินเปรี้ยวเล็กน้อย pH ๔.๗ - ๖.๐ ควรใส่ปูนมาร์ลในอัตรา ๑/๒ - ๑ ตันต่อไร่ วิธีการใส่ปูนมาร์ลลงในดินนั้นทำได้โดยการหว่านให้ทั่วพื้นที่โดยใช้แรงคนหรือเครื่องจักรกลสำหรับหว่านปลูกก็ได้ ทำการหว่านปูนก่อนการเตรียมดินก่อนปลูกพืชประมาณ ๒ สัปดาห์หรืออาจใช้เวลานานกว่านั้น ซึ่งจะได้ผลเช่นเดียวกัน แล้วแต่ความสะดวกในการขนปูนมาร์ล ๓. ใช้หินฟอสเฟตบดร่วมกับปุ๋ยไนโตรเจน จากการทดลองของกรมวิชาการเกษตร ใช้หินฟอสเฟตบดละเอียดในอัตรา ๑๐๐ กก./ไร่ ร่วมกับปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ๒๐ กก./ไร่ วิธีใส่ปุ๋ย หลังจากเตรียมดินไถดะ ไถแปร ไถคราดเก็บหญ้าออกให้หมดแล้วเอกหินฟอสเฟตบดในอัตราไร่ละ ๑๐๐ กก. (๒ กระสอบ) ร่วมกับแอมโมเนียมซัลเฟต ๑๐ กก. แล้วคราดกลบลงไปในดินซึ่งทำก่อนปักดำหรือก่อนหว่านข้าวงอกสำหรับนาน้ำตม ส่วนแอมโมเนียมซัลเฟตที่เหลืออีก ๑๐ กก. ร่วมกับหินฟอสเฟตบด ๑๐๐ กก. หว่านคราวเดียวกัน ก่อนหว่านพันธุ์ข้าว ๔. การใช้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมในสภาพพื้นที่ดินเปรี้ยว ๑. นาปักดำและนาหว่านน้ำตมได้แก่พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ ๑๐๕, กข.๗ กข.๙ ๒. ข้าวนาหว่าน ได้แก่พันธุ์ข้าวตะเภาแก้ว ๑๖๑ เล็บมือนาง การคัดเลือกพันธุ์ข้าวที่ทนความเป็นกรดปลูกเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๑. พื้นที่ดินเปรี้ยวจัดควรใช้พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ ๑๐๕, เล็บมือนาง ๑๑๑ ตะเภาแก้ว ๑๖๑ เหลืองบังใบ และหอมมะลิ ๒. พื้นที่ดินเปรี้ยวปานกลางควรใช้พันธุ์ข้าว เผือกน้ำ ๔๓ ขาวปากหม้อ ๑๔๘ หางยี ๗๑ นางมล S-๔ ขาวเศรษฐี เหลืองหลวง ขาวห้าร้อยและแตงมันปู ๓ พื้นที่ดินเปรี้ยวเล็กน้อย ควรใช้พันธุ์ข้าวจำปาเป๋เมล็ดสั้นและเมล็ดยาว เหลืองเตี้ย และเหลืองประทิว |
คลิกที่นี่ |
โดย: งาน: งานห้องสมุด อ้างอิงแผนงาน : - อ้างอิงโครงการ : - แหล่งที่มา: http://203.150.73.21/rid11/srt/acidsoil.html |
Vote | |
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อฉัน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
มีประโยชน์ต่อทุกคน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |