![]() |
|
|
สิ่งหนึ่งที่ครูไทยเราสับสนหรือเครียดต่อการรอรับการประเมินมาตรฐานจากภายนอก คือการขาดการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักการและเป้าหมายการจัดการศึกษา รวมทั้งเป้าหมายหลักในการประเมินมาตรฐานการจัดการศึกษา ครูของเรามักใช้วิธีการสอบถามโรงเรียนที่ได้รับการประเมินแล้วบ้าง หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาบ้าง ซึ่งมักได้คำตอบที่ไม่ตรงกัน เป็นไปตามความเข้าใจของแต่ละบุคคล ยิ่งทำให้ครูสับสนมากยิ่งขึ้นไปอีก หรือบางครั้งขอกอปปี้งานด้านเอกสารต่างๆ และบอกด้วยว่า ''นี่ขอแบบมาจากโรงเรียนที่ผ่านการประเมินแล้วนะ'' ทั้งที่สถานการณ์ของแต่ละโรงเรียนไม่เหมือนกัน ความคิดด้านการบริหารจัดการแตกต่างกัน
จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ถ้าจะใช้อ้างอิงกันจริงๆ ขอให้ทุกโรงเรียนและคุณครูทุกท่าน ลองกลับไปทบทวนสาระด้านต่างๆ จาก ''พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542'' ที่ก่อกำเนิดมาจาก ''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540'' ซึ่งมีเนื้อหาที่ชัดเจนอยู่แล้ว โรงเรียนสามารถพัฒนาวิธีการและสาระตามความเหมาะสมของแต่ละโรงเรียนได้อยู่แล้ว เพียงแต่โรงเรียนร่วมมือกันวางแนวทางให้สอดคล้องกับความมุ่งหมายและหลักการจัดการศึกษา จัดระบบการศึกษาให้นักเรียนทุกคนได้มีสิทธิเสมอกัน ใช้แนวทางการจัดการศึกษาให้นักเรียนทุกคนเกิดคุณภาพทางการเรียนรู้ เพราะนั่นคือเครื่องชี้นำให้โรงเรียนสามารถกำหนด ปรัชญา (ความคิดหลักในการจัดการศึกษา) วิสัยทัศน์ (มุมมองอนาคตในการพัฒนาผู้เรียนให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง) พันธกิจ (วิธีการดำเนินงานที่จะต้องทำให้การจัดการศึกษาเกิดประสิทธิภาพ) และเป้าหมายการจัดการศึกษา (ผู้เรียนทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ในระดับคุณภาพ) ของแต่ละโรงเรียนได้อย่างชัดเจน เสร็จแล้ว เกิดผลแล้ว จึงรายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนทราบ หากการรายงานมิสอดคล้องกับวิธีปฏิบัติและผลที่ได้ โรงเรียนก็จะเกิดความวิตกกังวล เครียด รู้สึกอคติต่อผู้ประเมิน ต่อต้านและโต้แย้ง ซึ่งอันที่จริงแล้ว โรงเรียนควรใช้ประโยชน์จากผู้ประเมินภายนอก เพื่อสะท้อนสภาพการดำเนินงานของตนเอง ร่วมหาจุดเด่น จุดที่ควรปรับปรุงให้พบ เพราะผู้ประเมินภายนอกคือกัลยาณมิตรที่มาช่วยเหลือเรา มีความโปร่งใสในการดำเนินงานเมื่อผู้ประเมินภายนอกกลับไปแล้วโรงเรียนก็จะสามารถดำเนินงานการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพได้อย่างมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป้าหมายสูงสุดในการจัดการศึกษาคือการสร้างความเจริญงอกงามให้กับผู้เรียนทุกคนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตรงนี้คือหัวใจสำคัญในการจัดการศึกษาของประเทศไทย ซึ่งครูส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องทั้งสาระและวิธีการ จำเป็นที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อการพัฒนาวิชาชีพครูต้องหันกลับไปเก็บข้อมูลการดำเนินงานและนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุให้ได้ กัลยาณมิตร ขอเสนอแนะวิธี ''สบายๆ กับการทำงานให้ได้มาตรฐาน'' ด้านการจัดการเรียนการสอนของครู เพราะผลผลิตของครูคือผู้เรียนที่จะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นความสำเร็จของการจัดการศึกษาในสถานศึกษานั้นๆ โรงเรียนอาจมีกิจกรรมมากมาย มีรางวัลจากการประกวดหลายประเภท มีเอกสารหลักฐานต่างๆ ครบถ้วน มีอาคารเรียนอาคารประกอบพร้อมวัสดุครบครัน หากแต่ผู้เรียน 75% ขึ้นไปไม่มีคุณภาพที่แท้จริงตามหลักสูตร ย่อมนับได้ว่าสถานศึกษานั้นยังไม่มีคุณภาพด้านการจัดการศึกษา ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องแล้ว ต้องนักเรียนทุกคน (100%) มีคุณภาพทางการศึกษา เพราะว่าหนึ่งเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหลักสูตรที่ทุกคนต้องเรียนได้และได้เรียนอย่างเสมอภาค และสองต้องเป็นการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ เมื่อเป็นเช่นนี้ วิธีที่จะทำให้คุณครูสามารถจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้คือ อย่ายึดติดแบบเรียน เพราะเมื่อยึดติดแบบเรียน คุณครูจะรู้สึกว่า ตรงนั้นยังไม่ได้สอน ตรงนี้ยังไม่ได้สอน ห่วงแต่จะสอนหนังสือ ต้องซื้อแบบเรียน ต้องซื้อหนังสือเสริมทักษะ นอกจากนี้ก็จะขาดการตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถที่แท้จริงหรือไม่ เพราะคิดแต่เพียงว่าได้สอนไปแล้ว ผู้เรียนระดับสติปัญญาไม่ดีเอง ฉะนั้นให้หันกลับมา ''สอนคน'' เพราะเมื่อคุณครูสอนคน คุณครูก็จะมีเป้าหมายว่า ควรให้อะไรเกิดขึ้นในคน ควรจะใช้วิธีการอย่างไรกับคนแต่ละคนที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คุณครูก็จะเห็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนเองว่า ในเรื่องเดียวกัน ในเนื้อหาเดียวกัน มีแหล่งการเรียนรู้อีกมากมายที่ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ได้ ทั้งสิ่งที่เป็นเอกสารสิ่งพิมพ์และตัวบันทึกต่างๆ ตัวบุคคลที่ทรงภูมิปัญญา สถานที่ที่มีข้อมูลให้เรียนรู้มิรู้จบสิ้น ผู้เรียนค้นพบโลกคือห้องเรียน ค้นพบการสร้างองค์ความรู้ได้ไม่รู้จบสิ้น เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เกิดการวิจัยเพื่อการเรียนรู้ เพียงเท่านี้การจัดการเรียนการสอนของคุณครูก็จะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เกิดมาตรฐานหลายๆ ตัวตามมา ครูเพียงจัดสถานการณ์การเรียนรู้ อำนวยความสะดวก เป็นที่ปรึกษาและคอยเก็บข้อมูลผลการเรียนรู้อย่างเป็นระบบเท่านั้น เพื่อนำผลไปใช้พัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพเหมาะกับระดับการศึกษา นั่นก็คือการวิจัยในชั้นเรียนนั่นเอง และในการจัดการเรียนการสอนควรจัดขั้นตอนกระบวนการดังนี้ 1. ขั้นความรู้ ผู้เรียนควรได้รับความรู้จากแหล่งใด เพียงใด อย่างไร และจะนำเสนอรูปแบบใด (ก่อนจะทำอะไรจำเป็นต้องมีความรู้ก่อน) 2. ขั้นทักษะ ผู้เรียนควรได้รับการฝึกให้เกิดความคิดคล่อง ทำคล่อง ในเนื้อหานั้นๆ อย่างไร เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ จดบันทึกผลที่ได้อย่างละเอียดทั้งความสำเร็จและความผิดพลาดไว้เป็นข้อมูลการศึกษา 3. ขั้นประยุกต์ ผู้เรียนเกิดจินตนาการ เกิดการคิดต่อยอด สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ พัฒนาความรู้เดิม ครูและผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เกิดผลงาน เกิดชิ้นงาน เกิดแฟ้มสะสมงาน (ที่ไม่ใช่การรวบรวมแบบฝึกหัด) เกิดโครงงานและการวิจัยเพื่อการเรียนรู้ (ที่ไม่ใช่การรวบรวมเพื่อนำมาเขียนรายงาน) แนวคิดตัวอย่างนี้ กัลยาณมิตร ขอนำเสนอเพื่อให้คุณครูที่รักทุกท่านได้ค้นพบวิธีการสบายๆ ที่ทำงานให้ได้มาตรฐาน โดยผู้เรียนมีความสุขกับการเรียนรู้ ครูลดภาระ และบทบาทเพื่อจะได้มีความสุขกับการสอนที่มีประสิทธิภาพและเกิดมาตรฐาน นำไปสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สวัสดี |
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม |
โดย: งาน: งานประกันคุณภาพการศึกษา อ้างอิงแผนงาน : - อ้างอิงโครงการ : - แหล่งที่มา: กัลยาณมิตร (จ.เพชรบุรี) |
Vote | |
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อฉัน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
มีประโยชน์ต่อทุกคน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
![]() |
![]() |