|
|
ปีเก่าจะผ่านพ้นไป ปีใหม่ก็ใกล้จะมาเยือน เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่มีชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพหลายคนก็เริ่มโทรศัพท์กริ๊งกร๊างหากันว่าเพื่อสอบถามว่ามีงานดีๆที่ไหนบ้าง หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอโบนัสเพื่อนำไปเป็นทุนสำรองก่อนการเปลี่ยนงาน องค์กรต่างๆก็ทยอยลงโฆษณาควานหาดาวเด่นมาเสริมศักยภาพในการแข่งขันในปีหน้ากันบ้างแล้ว
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกปี ส่วนหนึ่งก็เป็นประเพณีปฏิบัติว่าถ้าเปลี่ยนงานต้อนสิ้นปีจะดูดีทั้งในแง่ของการนับอายุงาน การตัดสินวันพักร้อนประจำปี การคำนวณโบนัสในปีต่อไป การได้เงินก้อน(โบนัส)จากที่ทำงานปัจจุบัน ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากความต้องการของตลาดแรงงานที่องค์กรต่างๆมักจะสูญเสียคนไปตอนสิ้นปีจึงมีการประกาศรับสมัครกันมาก สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรใหม่ เพราะองค์กรก็เป็นองค์กรเดิม คนทำงานก็คือคนกลุ่มเดิม แต่ที่ใหม่คือคนองค์กรได้คนใหม่ แต่...เก่ามาจากที่อื่น คนทำงานก็ได้งานใหม่ แต่...เป็นงานเก่าของคนอื่น เราต้องยอมรับความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่าองค์กรใหม่เกิดขึ้นมาน้อยกว่าคนที่ต้องการเปลี่ยนงาน และในขณะเดียวกันองค์กรต่างๆที่ต้องการคนจบใหม่ก็มีน้อย ทุกองค์กรมักจะต้องการคนกลุ่มเดียวกัน คนทำงานส่วนใหญ่ก็ต้องการเข้าไปทำงานกับองค์กรกลุ่มเดียวกัน สรุปคือคนทำงานส่วนใหญ่แย่งกันเข้าองค์กรดีๆ ในขณะเดียวกันทุกองค์กรก็แย่งกันตัวคนทำงานเก่งๆซึ่งเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นคือหลายคนเปลี่ยนงานแล้วเป็นทุกข์เพราะได้องค์กรที่แย่กว่าที่เก่า หลายองค์กรคัดเลือกคนแล้วมีทุกข์เช่นกันเพราะได้คนที่มีค่าตัวสูงกว่าความเป็นจริง เนื่องจากมีการแข่งขันกันประมูลค่าตัวคนเก่ง เพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนงาน ผมจึงขอแนะนำข้อคิดสำหรับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่กำลังคิดจะเปลี่ยนงานใหม่ในช่วงปีใหม่นี้ดังนี้ ทบทวนตัวเองก่อนตัดสินใจเปลี่ยนงาน สิ่งแรกที่ควรทำก่อนการเปลี่ยนงานคือให้ถามตัวเองก่อนว่าทำไมอยากเปลี่ยนงาน ปัจจัยหลักๆก็มักจะอยู่บนพื้นฐานของ 2 เรื่องคือ หนึ่งเบื่อที่เก่า(ปัจจัยดัน) สองที่อื่นดีกว่า (ปัจจัยดึง) หรือสองเรื่องรวมกัน บางคนอยากเปลี่ยนงานเพราะเบื่อหัวหน้า บางคนอยากเปลี่ยนงานเพราะเงินไม่พอใช้ บางคนอยากเปลี่ยนงานเพราะอยากลองของใหม่ บางคนอยากเปลี่ยนงานเพราะต้องการให้ประวัติการทำงานยาวขึ้น ฯลฯ ผมขอแนะนำว่าก่อนที่เราจะเปลี่ยนงานควรจะมีการกำหนดเป้าหมายชีวิตในระยะยาวก่อนว่า เราต้องการอะไร เช่น ต้องการเป็นผู้บริหารระดับสูง ต้องการทำธุรกิจส่วนตัว แล้วค่อยมาพิจาณาต่อว่าการอยู่ที่เดิมหรือเปลี่ยนงานใหม่อะไรจะช่วยให้เป้าหมายของเราใกล้เคียงความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น วางแผนการหางาน ถ้าตัดสินใจได้แน่นอนแล้วว่าจะต้องเปลี่ยนงานแน่ๆ ขั้นตอนต่อไปคือควรจะวางแผนว่าเราจะหางานอย่างไร จะต้องทำอะไรบ้าง เมื่อไหร่ เช่น องค์กรในเป้าหมายที่เราต้องการจะไปทำงานด้วย การเตรียมประวัติการทำงาน ขอแนะนำนิดนึงว่าประวัติการทำงานสมัยนี้เขาไม่เรียกว่าประวัติย่อแล้ว แต่ควรเป็นประวัติของผลงานมากกว่า ควรจะเขียนว่าทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ผลเป็นอย่างไร ถ้าสามารถวิเคราะห์เหตุแห่งผลสำเร็จหรือล้มเหลวได้ด้วยจะยิ่งดีมาก เพราะประวัติคือประวัติไม่มีใครไปเปลี่ยนมันได้ เราไม่บอกความจริงวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็ต้องมีคนรู้ ทางที่ดีควรจะนำประวัติที่เปลี่ยนไม่ได้แล้วนั้นมาจัดระบบให้มีมูลค่าเพิ่มกับตัวเองน่าจะดีกว่านะครับ ศึกษาข้อมูลเชิงลึก (หาพันธมิตรผู้สมัครงาน) ผมอยากจะแนะนำว่าองค์กรหรือนายจ้างเขามีระบบการตรวจสอบประวัติจากบริษัทที่เราเคยทำงาน ทำไมกลุ่มลูกจ้างแบบเราไม่มีระบบการตรวจสอบประวัติของนายจ้างกันบ้างครับ ถ้าจะทำแบบง่ายๆคือการเข้าไปศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่างๆว่านายจ้างรายนั้นเป็นอย่างไร การส่งผ่านข้อมูลข่าวสารกันเองระหว่างลูกจ้างหรือคนที่ต้องการจะเปลี่ยนงานผ่านอินเตอร์เน็ต หรืออาจจะมีเครือข่ายอะไรบางอย่างที่จะช่วยให้ข้อมูล(ที่เป็นจริง)สำหรับการตัดสินในเปลี่ยนงาน เพราะการเปลี่ยนงานแต่ละครั้งเปรียบเสมือนจุดชี้เป็นชี้ตายของความสำเร็จหรือล้มเหลวในชีวิตการทำงานเป็นลูกจ้างเหมือนกันนะครับ วิเคราะห์ความเสี่ยง ถ้าองค์กรไหนรับเราเข้าทำงานแล้ว ควรจะมีการวิเคราะห์ว่าการอยู่องค์กรเดิมกับองค์กรใหม่ที่เขาเลือกเรานั้น ที่ไหนมีความเสี่ยงมากกว่ากัน ผลตอบแทนคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ นอกจากนี้อาจจะต้องมีการเปรียบเทียบผลตอบแทนโดยรวม (Total Remuneration) ของทั้งสององค์กรก่อน โดยจะต้องนำมาคิดรวมทั้งที่เป็นตัวเงินจริงและโอกาสที่เราสูญเสีย เช่น การเริ่มองค์กรใหม่ในปีแรกเราอาจจะไม่มีวันพักร้อนหรือมีน้อยกว่าที่เดิม อัตราการเริ่มต้นของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นอย่างไร หลังจากนั้นค่อยมาวิเคราะห์ว่าความเสี่ยงของที่ใหม่นั้นคุ้มค่ากับผลตอบแทนหรือไม่ กำหนดกลยุทธ์การเปลี่ยนงาน ถ้าเรายังไม่รีบร้อนอะไร ผมขอแนะนำว่าถ้าเราไม่ใช่กลุ่มคนที่เก่งที่สุดในกลุ่มอาชีพเดียวกัน กรุณาอย่าเพิ่งเปลี่ยนงานในช่วงเทศกาล ''คนเปลี่ยนงาน งานเปลี่ยนคน'' เพราะเราจะแข่งกับเขาไม่ได้ เราควรจะกำหนดกลยุทธ์ในการเปลี่ยนงานเป็นช่วงอื่น เป็นการรอจังหวะดีๆ เหมือนกับการลงทุนระยะยาว เหตุผลที่สำคัญคือ ช่วงระหว่างปีคู่แข่งเรามีน้อย และองค์กรที่รับคนระหว่างปีส่วนใหญ่เขาเสียคนไปเพราะคนออกไปทำธุรกิจส่วนตัว ศึกษาต่อ หรือระหว่างปีอาจจะมีองค์กรเกิดใหม่ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสดีมากกว่า ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่หลักการหรือวิธีการที่ดีที่สุด เพียงแต่ผมในฐานะคนเคยเป็นลูกจ้างมาก่อนต้องการสะท้อนให้เห็นภาพของตลาดแรงงานในช่วงเทศกาลเปลี่ยนงานเท่านั้นว่าใครที่ต้องการเปลี่ยนงานในช่วงนี้จะต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบมากขึ้นนะครับ |
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม |
โดย: งาน: งานนโยบายและแผน อ้างอิงแผนงาน : - อ้างอิงโครงการ : - แหล่งที่มา: www.hrcenter.co.th |
Vote | |
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อฉัน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
มีประโยชน์ต่อทุกคน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |