![]() |
|
|
สัตว์ป่าสู่สัตว์เศรษฐกิจ ต้องคอยกฎระเบียบ
มีหลายคนสอบถามมาว่า สัตว์ป่าที่มีอยู่ในเมืองไทยหลายหลากชนิด และบางชนิดที่ผ่านงานศึกษาวิจัยการเพาะขยายพันธุ์ จนประสบความสำเร็จ ออกลูกออกหลานมากมาย เมื่อไหร่จะนำมาใช้ประโยชน์ทางการค้าได้ หรือเป็นสัตว์เศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม บางคนก็ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า ทำไม ต้องนำสัตว์ที่อยู่ในป่าอย่างมีความสุขมาฆ่าหรือทำการค้าด้วย และไม่กลัวจะสูญพันธุ์ไปหรือ ความเห็นไม่ตรงกัน มิแปลกที่ทำให้นโยบายการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าจึงล่าช้า เพราะว่าต้องแก้ไขกฎระเบียบกันใหม่ เพื่อให้ความขัดแย้งดังกล่าวน้อยลง คุณวินิจ ภู่เนาวรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า ตอนนี้เรากำลังแก้ไขกฎระเบียบกัน พร้อมกับให้ความรู้แก่คนทั่วๆ ไปว่า ถ้าเราอนุรักษ์สัตว์ป่า เพื่อให้อยู่ในป่าอย่างเดียว โดยไม่นำมาศึกษาวิจัยด้านการเพาะขยายพันธุ์ โอกาสที่จะสูญพันธุ์มีสูงมาก เพราะว่าสภาพแวดล้อมของป่าเปลี่ยนแปลงไปเกือบทุกปี ทำให้ขาดความสมดุล เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง สัตว์ตัวเล็กๆ ที่อาศัยป่าเป็นตัวหลบซ่อนหรือเป็นที่หาอาหารกิน ก็อาจถูกล่าด้วยสัตว์ใหญ่ และมนุษย์ได้ง่ายขึ้น เขาบอกว่า การอนุรักษ์สัตว์ป่าที่ถูกขั้นตอนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจับมาศึกษาวิจัยการเพาะขยายพันธุ์และสภาพความเป็นอยู่ เหมือนกับจระเข้ ที่ครั้งหนึ่งใกล้สูญพันธุ์ แต่เดี๋ยวนี้มีจำนวนมากมาย ทั้งในธรรมชาติและฟาร์มเลี้ยงของชาวบ้าน ทั้งนี้ มาจากการศึกษาวิจัยกันอย่างจริงจัง ปัจจุบันนี้ จระเข้กลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ส่งขายทั้งในและต่างประเทศ นำเงินตราเข้าประเทศอย่างมาก ในขณะเดียวกันปริมาณจระเข้ในธรรมชาติกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากนำสายพันธุ์ส่วนหนึ่งกลับคืนสู่ธรรมชาติ และคงลักษณะทางพันธุกรรมดั้งเดิมเอาไว้ด้วย เห็นมั้ยล่ะ ข้อดีของการอนุรักษ์ที่ถูกต้องคืออะไร ไม่กลัวว่าจะสูญพันธุ์ต่อไปแล้ว เมื่อมีจำนวนมากขึ้น ก็นำมาค้าขาย และฆ่ากิน เหมือนกับวัว ควาย ที่เคยเป็นสัตว์ป่ามาก่อน และพัฒนาเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ไม่แปลกที่ ปี 2535 มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เพื่อให้การสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ประกอบกับความจำเป็นต้องเร่งรัดการขยายพันธุ์สัตว์ป่า จึงเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ การครอบครอง และการค้าสัตว์ป่า รวมทั้งซากและผลิตภัณฑ์ด้วย และใน ปี 2546 แก้ไขอนุญาตให้ผู้ที่มีสัตว์ป่าคุ้มครองและซากของสัตว์ป่าในครอบครองแจ้งขออนุญาตครอบครองสัตว์ป่าได้ รวมทั้งออกกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ จำนวน 59 ชนิด แบ่งเป็น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 8 ชนิด นก 42 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 6 ชนิด สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 1 ชนิด และปลา 2 ชนิด ด้วยเหตุนี้ มีผู้คนแจ้งขออนุญาตครอบครองสัตว์ป่าทั่วประเทศกว่า 130,000 ราย รวมจำนวนสัตว์แล้วประมาณ 1,200,000 ตัว เป็นงานที่หนักหนาสาหัสของเจ้าที่ที่รับผิดชอบ เพราะว่ามีปริมาณมาก ในขณะที่แรงงานและงบประมาณมีจำกัด อย่างไรก็ตาม ยังเดินหน้าทำงานกันต่อ เพื่อให้สัตว์ทุกตัวขึ้นทะเบียนประวัติและมีเครื่องหมายประจำตัว เพื่อเป็นแหล่งพ่อแม่พันธุ์และการค้าในอนาคตด้วย ในขณะเดียวกันทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปรับแผนดำเนินงานใหม่ เพื่อให้สัตว์ป่าที่มีอยู่จำนวนมาก และผสมพันธุ์ได้ง่าย พัฒนาเป็นสัตว์เศรษฐกิจ โดยได้กำหนดแผนไว้ดังนี้ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การศึกษา วิจัย และรวบรวมข้อมูลด้านวิชาการ จัดทำฐานข้อมูลสัตว์ป่าและระบบนิเวศ - พัฒนาเทคโนโลยีด้านการศึกษาวิจัยสัตว์ป่า และผลิตผลสัตว์ป่า ยุทธศาสตร์ที่ 2 การอนุรักษ์ความหลากหลายของทรัพยากรสัตว์ป่าและระบบนิเวศ - อนุรักษ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์นอกถิ่นกำเนิด ยุทธศาสตร์ที่ 3 การใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์ป่าอย่างยั่งยืน - จัดการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์ป่านอกถิ่นที่อยู่อาศัย ''เราอยากย้ำว่ามีวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า มี 2 ประการ คือเชิงอนุรักษ์ และเชิงพาณิชย์ เมื่อนำกลับคืนสู่ธรรมชาติได้อย่างเพียงพอแล้ว ก็น่าจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ก่อให้เกิดการศึกษาเรียนรู้ พัฒนาการขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมาก โดยไม่ต้องไปดึงเอาพ่อแม่พันธุ์จากธรรมชาติมาใช้จนเกินจำเป็น ซึ่งกรมได้ทำการสำรวจความต้องการของตลาด ทดลองเพาะเลี้ยง คัดเลือก ปรับปรุงให้มีสายพันธุ์ที่ดี ก่อนจำหน่ายจ่ายแจกให้กับประชาชน หรือเกษตรกรนำไปเพาะเลี้ยง โดยกรมจะให้การสนับสนุนข้อมูลด้านต้นทุน อาหาร วิธีการเพาะเลี้ยง ช่องทางการตลาด เป็นต้น'' คุณวินิจ กล่าว ปัจจุบัน ทางกรมอุทยานฯ มีสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าอยู่ในสังกัด 23 แห่ง ทั่วประเทศ สามารถเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าได้เกือบทุกชนิด ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ปีก เช่น ไก่ฟ้า นกยูง ไก่ป่า และสัตว์เลี้ยงลูกด้วย อาทิ เนื้อทราย กวางป่า เป็นต้น ทั้งนี้ยังสามารถเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าคุ้มครองที่อนุญาตให้เพาะพันธุ์ได้ จนมีจำนวนพอเพียงที่จะนำไปกระจายพันธุ์ โดยส่งเสริมให้ชาวบ้านเพาะเลี้ยง ภายใน ปี 2550 จำนวน 16 ชนิด รวม 5,720 ตัว ได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 7 ชนิด คือกระจงเล็ก กวางป่า เนื้อทราย อีเก้ง ลิงกัง ลิงวอก ลิงแสม และสัตว์ปีกอีก 9 ชนิด คือ ไก่ป่า ไก่ฟ้าหลังขาว ไก่ฟ้าหลังเทา นกขุนทอง นกปรอดหัวโขน นกยูง นกแว่นเหนือ และนกหว้า คุณวินิจ กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไป ทางกรมอุทยานฯ จะเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า ทั้งสัตว์ป่าที่หายากใกล้สูญพันธุ์และสัตว์ป่าที่อนุญาตให้เพาะพันธุ์ได้ 59 ชนิด ให้เป็นไปตามหลักวิชาการ รวมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมถูกต้อง และพัฒนาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย เพื่ออำนวยประโยชน์ให้การเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเชิงพาณิชย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และผู้เลี้ยงสามารถปฏิบัติตามกฎ ระเบียบนั้นๆ ได้อย่างเคร่งครัด โดยสรุปแล้ว ใครที่อยากเลี้ยงสัตว์ป่าเพื่อการค้า ต้องคอยไปก่อน เพราะว่าตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ต้องผ่านการเห็นชอบจากหลายฝ่าย หากรัฐบาลชุดนี้ต้องการสร้างรายได้หรือเพิ่มทางเลือกในการประกอบอาชีพให้กับประชาชน ก็คงไม่ยากนัก ที่สัตว์ป่าจะกลายเป็นเศรษฐกิจ เรียนรู้เทคนิคเลี้ยงสัตว์ป่ากับกรมอุทยานแห่งชาติ ฯ ด้วยบทบาทความรับผิดชอบของกกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทีเกี่ยวข้องกับงานส่งเสริมสนับสนุนการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเชิงพาณิชย์ ดังนั้นกรมอุทยานแห่งชาติ ฯ จึงได้มีการศึกษาวิจัยหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงการจัดการสัตว์ป่า โดยทำการศึกษาตามสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าทั่วประเทศและมีการจัดทำเป็นข้อมูลสำหรับให้ผู้สนใจได้ศึกษาเรียนรู้ ซึ่งในที่นี้ขอนำข้อมูลบางส่วนที่น่าสนใจมากนำเสนอเพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นแก่ผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า เลี้ยงนกแก้วโม่งในกรงเลี้ยง สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบางพระ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงนกแก้วโม่งว่า เนื่องจากปัจจุบันคนไทยหันมาสนใจเลี้ยงนกสวยงามของต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จะเป็นเพราะว่านกของไทยส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือนกบางชนิดเปิดโอกาสให้เพาะพันธุ์ได้แต่ติดขัดในเงื่อนไขบางประการ ซึ่งค่อนข้างจะยุ่งยากในแง่ปฏิบัติ ดังนั้น คนจึงหันมาเลี้ยงและเพาะพันธุ์นกต่างประเทศกันมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องการครอบครอง ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้นำเข้านกสวยงามจากต่างประเทศเพื่อจำหน่ายและเพาะพันธุ์เป็นจำนวนมาก จนเป็นนกเศรษฐกิจซื้อขายกันภายในประเทศกันอย่างกว้างขวาง ทำให้ต้องเสียดุลการค้าเป็นจำนวนมาก แต่การเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ในบ้านเรายังไม่มากพอที่จะส่งไปขายยังประเทศอื่น ประกอบกับผู้เพาะเลี้ยงเองก็ยังประสบปัญหาอนุสัญญาไซเตส (CITES) ปัจจุบันนกตระกูลนกแก้วของเมืองไทยลดน้อยลงมากจนบางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์และบางพื้นที่ที่เคยมีนกเหล่านี้ปัจจุบันสูญพันธุ์ไป และนกแก้วเมืองไทยก็เป็นที่นิยมเพาะเลี้ยงในกรงเลี้ยงทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งนกดังกล่าวก็เป็นนกที่มีศักยภาพในเพาะเลี้ยงในเชิงเศรษฐกิจได้ ฉะนั้นการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาเทคนิคต่างๆ ในการเพาะเลี้ยงดูแลนกแก้วไทย นกในวงศ์นกแก้วที่พบตามธรรมชาติของประเทศไทยมี 7 ชนิด ได้แก่ นกแก้วโม่ง นกแก้ว หัวแพร นกกะลิง นกแขกเต้า นกหกใหญ่ นกหกเล็กปากแดง และนกหกเล็กปากดำ นกแก้วโม่งเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดานกในวงศ์นี้และมีความสามารถในการเลียนเสียงมนุษย์ได้จึงเป็นที่นิยมเลี้ยงมากกว่าชนิดอื่นๆ ลักษณะและรูปร่างทั่วไป นกแก้วโม่งจัดเป็นนกขนาดกลาง วัดจากความยาวจากจะงอยปากถึงปลายหางระหว่าง 56-62 เซนติเมตร เพศผู้มีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย เพศผู้โตเต็มวัยมีน้ำหนักระหว่าง 200-400 กรัม เพศเมียมีน้ำหนักระหว่าง 200-350 เซนติเมตร ขนตามลำตัวส่วนใหญ่มีสีเขียว ส่วนหัวมีขนาดใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของลำตัว ปากใหญ่หนา จะงอยปากบนและล่างงุ้มมีสีแดง มีสีแดงอมม่วงแต้มที่ไหล่ทั้งสองข้าง หางเรียบยาว ขนหางคู่กลางยาวมาก โคนหางด้านบนมีสีฟ้าอมเขียว ม่านตาสีเหลืองอ่อน เพศผู้และเพศเมียไม่เหมือนกัน โดยเพศผู้มีแถบสีดำลากจากใต้คางไปยังใต้แก้ม และมีแถบสีชมพูอมแดงคาดที่ท้ายทอย เพศเมียจะไม่มีแถบสีชมพูคาดที่ท้ายทอย ถ้าสังเกตให้ดี จะพบแถบสีเขียวอ่อนอยู่บริเวณท้ายทอยเช่นกัน ขนหางสั้นกว่าและมีขนาดลำตัวเล็กกว่าเพศผู้ ส่วนนกที่ยังไม่โตเต็มที่จะมีสีคล้ายนกเพศเมีย แต่สีจะงอยปากและแต้มที่ไหล่สีไม่เข้ม กรงเลี้ยง กรงเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์นกแก้วโม่งที่เหมาะสมไม่ควรเล็กกว่า 1.20x4.80x2.10 เมตร กรงที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบางพระ เป็นกรงสี่เหลี่ยม (กว้างxยาวxสูง) ขนาด 2.90x4.75x2.40 เมตร มีส่วนที่มุงหลังคายาว 2.10 เมตร ส่วนที่ไม่ได้มุงหลังคามีไว้เพื่อให้นกได้รับแสงแดดซึ่งช่วยในการสังเคราะห์วิตามินดีและได้รับน้ำฝนเพื่อช่วยทำความสะอาดขน บางครั้งแม่นกยังตั้งใจทำให้ขนเปียกชื้นก่อนเข้าไปฟักไข่เป็นการให้ความชื้นแก่ไข่ พื้นกรงเป็นดินอัดแน่นโรยทับด้วยทรายหยาบ ภายในกรงมีต้นไม้แห้งที่มีกิ่งก้านไว้เพื่อให้นกใช้เป็นที่พักผ่อนและทำกิจกรรมต่างๆ รอบกรงปิดล้อมด้วยตาข่ายเบอร์ 14 พบว่า ในผู้เพาะเลี้ยงนกเพื่อการค้าส่วนใหญ่ใช้กรงเลี้ยงหลายขนาดสำหรับนกแต่ละช่วงอายุเพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่และเนื่องจากนกแต่ละช่วงอายุจำเป็นต้องมีการจัดการที่แตกต่างกัน ลูกนกที่อายุน้อยมีความชำนาญในการหาอาหารน้อย ถ้าใช้กรงใหญ่อาจทำให้ได้รับอาหารไม่เพียงพอ ทำให้การเจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร นกรุ่นมีความชำนาญในการหาอาหารมากขึ้น มีการพัฒนาของโครงสร้างร่างกายและเริ่มจับคู่กันจึงนิยมเลี้ยงในกรงที่มีขนาดใหญ่เพื่อจะได้มีพื้นที่ในการบินออกกำลังกาย และลดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ในการเพาะเลี้ยงนกแก้วโม่งให้ประสบความสำเร็จมักแยกเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ กรงละ 1 คู่ กรงเลี้ยงสำหรับพ่อแม่พันธุ์มีขนาดตั้งแต่ 0.80x1.60x0.90 เมตร ถึง 3.00x6.00x2.60 เมตร ภายในกรงมีรังเทียมสำหรับให้แม่นกเข้าไปวางไข่ รังเทียมที่นิยมใช้มี 2 ลักษณะ คือ รังที่ทำจากท่อนไม้คว้านด้านในให้เป็นโพรง และรังที่ทำจากแผ่นไม้ประกอบเป็นกล่อง ขนาดตั้งแต่ 0.27x0.50x0.45 เมตร ถึง0.42x0.45x1.00 เมตร รังสำหรับวางไข่ ในธรรมชาตินกในวงศ์นกแก้วส่วนใหญ่ทำรังในโพรงของต้นไม้ทั้งที่ตายแล้วหรือที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจเป็นรังที่สร้างขึ้นเองหรือรังเก่าของสัตว์อื่น ในกรงเลี้ยงจึงต้องจัดรังเทียมให้พ่อแม่พันธุ์นกแก้วโม่งใช้ทำรังวางไข่และเลี้ยงดูลูกนก รังที่ใช้ในการเพาะพันธุ์มี 2 แบบ คือ 1. รังที่ทำจากลำต้นของต้นไม้ทั้งต้นที่มีความยาว 90 เซนติเมตร คว้านภายในเป็นโพรงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 25-30 เซนติเมตร และเจาะช่องสำหรับให้นกแก้วเข้าออกเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร ห่างจากด้านบนของรังเทียม 15 เซนติเมตร และเจาะช่องปิดเปิดไว้สำหรับตรวจดูในรังห่างจากด้านล่างของรังเทียม 23 เซนติเมตร ด้านล่างของรังปิดด้วยสังกะสีแผ่นเรียบเพื่อป้องกันนกกัดแทะจนรังเทียมทะลุ ซึ่งจะทำให้ลูกนกตกลงมา มีข้อดีคือ มีลักษณะคล้ายโพรงในธรรมชาติ ข้อเสียคือ หาวัสดุยาก มีน้ำหนักมาก ติดตั้งและทำความสะอาดยาก 2. รังที่ทำจากแผ่นไม้กระดานหรือไม้อัด นำมาตัดเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 40x40x100 เซนติเมตร เจาะช่องวงกลมสำหรับนกเข้าออก เส้นผ่าศูนย์กลาง 9 เซนติเมตร หรือเป็นรูปทรงตัวแอลในภาษาอังกฤษ เป็นรังที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาพ่อหรือแม่นกเหยียบไข่แตกโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากแม่นกจะวางไข่ไว้ด้านในสุดของรังคือ ส่วนที่ห่างจากทางเข้ารังมากที่สุด ดังนั้น เมื่อใช้รังทรงตัวแอล แม่นกจะวางไข่ไว้ด้านในไม่ตรงกับทางขึ้นลง แม้นกกระโดดขึ้นลงรังก็จะไม่เหยียบไข่แตก รังเทียมทรงตัวแอล มีขนาดกว้าง 27xยาว 50x สูง 45 เซนติเมตร มีช่องสำหรับนกเข้าออกจากรังขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7.5 เซนติเมตร ห่างจากด้านบนสุดของกล่อง 5 เซนติเมตร ภายในมีตะแกรงลวดติดไว้ให้นกปีนขึ้นลงและมีช่องสำหรับเปิดดูภายในรังขนาด 27x15 เซนติเมตร อาหาร อาหารที่ใช้เลี้ยงนกแก้วโม่ง ประกอบด้วยอาหารประเภทผลไม้ผักสด เช่น ผักโขมสดทั้งต้นให้โดยมัดไว้กับลวดข้างกรง กล้วยน้ำว้าสุก มะละกอสุก ฝรั่งสด แอปเปิ้ลสด ไม่ต้องปอกเปลือกหั่นเป็นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็กๆ ใส่ในถ้วยกระเบื้องเคลือบ อาจคลุกวิตามินบีรวมในบางครั้ง อาหารประเภทนี้เน่าเสียง่ายจึงต้องทำใหม่และเก็บทำความสะอาดทุกวัน อาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ด ให้อาหารสำเร็จรูปสำหรับนกสวยงาม และอาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัขโดยนำอาหารสำเร็จรูปมาแช่ในน้ำสะอาดให้นิ่มก่อนให้นก แต่การที่อาหารเปียกน้ำทำให้เน่าเสียเร็วจึงต้องเก็บทำความสะอาดทุกวัน และเมล็ดธัญพืช ให้เมล็ดทานตะวันดำและเมล็ดทานตะวันลาย เมล็ดข้าวโอ๊ต เมล็ดข้าวไรน์ เป็นต้น เมล็ดธัญพืชรวมใส่ในภาชนะเดียวกัน ตามปกติเมล็ดธัญพืชเมื่อนำออกมาให้แก่นกแล้วสามารถคงสภาพอยู่ได้นานถ้าไม่ถูกความชื้นมาก จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกวัน สามารถให้ทิ้งไว้ไม่เกิน 3 วัน เนื่องจากความสดใหม่และความสะอาดของเมล็ดธัญพืชจะค่อยๆ ลดลง ข้าวโพดสดทั้งฝัก มักให้โดยการเสียบไว้กับลวดแขวนไว้ข้างกรงเพื่อป้องกันไม่ให้นกถ่ายรดหรือนำไปใส่ในถ้วยน้ำดื่ม ซึ่งจะทำให้นกสกปรก และยังเก็บทำความสะอาดได้ง่าย อาหารเสริมประเภทอื่นๆ คืออาหารที่เป็นแหล่งของแร่ธาตุที่นกกินเพียงเล็กน้อยเพื่อรักษาสมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย อาหารประเภทนี้มักจัดไว้ให้ในกรงตลอดเวลา เมื่อนกต้องการก็จะมากินเอง ได้แก่ ก้อนเกลือแร่ กระดองปลาหมึก เปลือกหอยป่น การสืบพันธุ์ของนกแก้วโม่ง นกแก้วโม่งเริ่มจับคู่เมื่อมีอายุ 8 เดือน สังเกตได้จากการที่นกเพศผู้ขยอกอาหารออกมาป้อนให้นกเพศเมียและบินตามกัน แต่ยังไม่มีการผสมพันธุ์และวางไข่ เริ่มมีการผสมพันธุ์และวางไข่เมื่ออายุ 2-3 ปี วางไข่ปีละ 1 ครั้ง ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงมีนาคม นกเพศเมียเริ่มวางไข่ฟองแรกหลังจากได้รับการผสมพันธุ์ 12-35 วัน วางไข่ครอกละ 2-3 ฟอง เพศเมียเท่านั้นทำหน้าที่ฟักไข่ เพศผู้มีหน้าที่นำอาหารมาป้อนและปกป้องรัง ใช้เวลาฟักไข่ 24-30 วัน ลูกนกที่ฟักออกมาจากไข่เป็นลูกอ่อนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และยังไม่ลืมตา พ่อแม่นกจะช่วยกันเลี้ยงดูลูกประมาณ 60 วัน ลูกนกจึงบินออกจากรังแต่พ่อแม่ยังคงป้อนอาหารให้จนลูกนกมีอายุได้ 109 วัน ถ้าให้พ่อแม่นกเลี้ยงลูกเองจะได้ลูกเพียงครอกเดียวต่อปี วิธีที่สามารถทำให้เพิ่มอัตราจำนวนครอกของการวางไข่มี 2 วิธี คือ วิธีที่ 1 การเก็บไข่ออกมาฟักด้วยตู้ฟักไข่ทันทีเมื่อแม่นกวางไข่ฟองสุดท้ายแล้ว จากนั้นภายใน 45 วัน แม่นกจะเริ่มวางไข่ครอกใหม่ต่อไป การฟักไข่ด้วยตู้ฟักไข่ใช้อุณหภูมิ 100-101.5 องศาฟาเรนไฮต์ ความชื้น 58-61 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลาในการฟักไข่ประมาณ 21 วัน วิธีนี้ทำให้พ่อแม่พันธุ์นกแก้วโม่งวางไข่ได้ 2-3 ครอก ต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของนกด้วย วิธีที่ 2 การให้แม่นกฟักไข่จนฟักออกมาเป็นตัวอายุ 1-2 วัน จึงนำออกมาเลี้ยงเอง หลังจากนั้นประมาณ 15 วัน แม่นกบางคู่จะวางไข่ใหม่ การอนุบาลเลี้ยงดูลูกนกแก้วโม่งวัยอ่อน การนำลูกนกแก้วโม่งออกมาเลี้ยงเองจะทำให้นกมีความเชื่องและสามารถเลียนเสียงต่างๆ ได้ อาหารสำเร็จรูปที่ใช้เลี้ยงลูกนกเป็นอาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดสำหรับสุนัข นำมาแช่น้ำให้นิ่มบดผสมกับกล้วยน้ำว้าสุกป้อนให้กับลูกนกหรือใช้อาหารสำเร็จรูปสำหรับลูกนกที่มีขายตามท้องตลาด ชนิดเป็นผงละเอียดนำมาผสมน้ำต้มสุกอัตราส่วนแตกต่างกันไปแต่ละช่วงอายุลูกนกที่อายุน้อย ผสมน้ำในอัตราส่วนที่มากกว่าลูกนกที่อายุมากกว่า ปริมาณการป้อนอาหารแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุ ลูกนกที่อายุยังน้อยป้อนอาหารครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง เนื่องจากขนาดกระเพาะพักเล็กถ้าให้ปริมาณมากเกินไปทำให้กระเพาะพักไม่บีบตัวอาจทำให้ลูกนกตายได้ ลูกนกที่เพิ่งฟักออกจากไข่ป้อนอาหาร 4-8 ครั้ง ต่อวัน และค่อยลดจำนวนครั้งลงจนเหลือ 3 ครั้ง ต่อวัน การป้อนอาหารอาจใช้ช้อนชาที่บีบขอบทั้งสองข้างให้งอขึ้นตักป้อนอาหาร และการป้อนด้วยกระบอกฉีดยาที่ปลายสวมด้วยสายยางหรือท่อพลาสติค วิธีนี้ถ้าผู้ป้อนไม่ชำนาญอาจทำให้ลูกนกสำลักอาหารลงหลอดลม และตายได้ ระหว่างที่ลูกนกยังไม่มีขนปกคลุมร่างกายต้องใช้ไฟกกให้ความอบอุ่นแก่ลูกนกที่อุณหภูมิ ประมาณ 36 องศาเซลเซียส เมื่อลูกนกอายุประมาณ 2 เดือน จึงจะกินอาหารเองได้ สามารถย้ายลูกนกลงมาไว้ในกรงอนุบาลได้ โรคที่พบได้บ่อยและการป้องกันรักษา อาจพบโรคขนและจะงอยปากผิดปกติในนกวงศ์นกแก้ว โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส มีอาการรากขนตายและมีเลือดออก ก้านขนหักหรืองอ ขนร่วง และเมื่อขนงอกใหม่ก็จะผิดปกติอีก จะงอยปากงอกยาวผิดปกติและแตกง่าย ตลอดจนอาการอื่นๆ และโรคแทรกซ้อน ในลูกนกมักมีอาการแบบเฉียบพลันและตายก่อนพบความผิดปกติของขน โรคนี้ไม่มีวิธีรักษาแต่ป้องกันได้ โดยตรวจหาเชื้อในนกที่จะนำเข้ามาเลี้ยงใหม่ นอกจากนี้ พบการขาดวิตามินเอ เนื่องจากให้แต่เมล็ดพืชที่มีวิตามินเอน้อยมากแก่นก อาการคือมีตุ่มหรือฝ้าขาวในปาก หลอดอาหาร กระเพาะพัก ภาวะเยื่อตาและกระจกตาแห้ง มีน้ำตาไหล ผิวหนังเป็นสะเก็ด เยื่อบุฝ่าเท้าหนา รักษาโดยให้วิตามินเอชนิดฉีดและกิน ป้องกันโดยให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน โดยเฉพาะผักและผลไม้สดซึ่งมีวิตามินเอมาก การเพาะเลี้ยงชะมดเช็ด ชะมดเช็ด หรือ ชะมดเชียง Small Indian civet (Viverricula malacensis) เป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งในจำนวนชนิดสัตว์ป่าคุ้มครองที่กฎหมายกำหนดให้เพาะพันธุ์ได้ สามารถนำมาส่งเสริมให้ผู้ที่สนใจ เลี้ยงเป็นอาชีพรอง เสริมรายได้แก่ครอบครัว โดยการนำผลิตภัณฑ์ที่ได้จากชะมดเช็ดที่เป็นไขของเหลว นำไปขายเป็นรายได้โดยมีตลาดรับซื้ออยู่ในกรุงเทพฯ ตามร้านขายยาโบราณย่านเยาวราช คิดราคาซื้อขายโดยชั่งน้ำหนักเป็นกรัมทอง โดยไขของเหลวดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตน้ำหอมไทย น้ำอบไทย ผสมกับยาลมกระตุ้นหัวใจให้ทำงานเร็วขึ้น ช่วยให้มีกลิ่นคงทนได้นาน หรือใช้ทำเป็นยาบำรุงหัวใจชูกำลังให้มีพลังซู่ซ่า ซึ่งมีค่ามากพอกับเขากวางอ่อน หรือนอแรด สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าจุฬาภรณ์ จังหวัดศรีสะเกษ เผยข้อมูลว่า การเพาะเลี้ยงชะมดเช็ดของชาวบ้านในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เลี้ยงไว้เพื่อความเพลิดเพลิน หรือรับซื้อชะมดเช็ดจากชาวบ้านไปล่าจับมาจากพื้นที่ป่าในราคาตัวละ 300 บาท แล้วนำมาเลี้ยงเพื่อเก็บไขของเหลวขาย ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นการเพาะเลี้ยงเพื่อเก็บผลผลิตแต่ไม่ได้เพาะเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เมื่อชะมดเช็ดที่เลี้ยงอยู่ตายลงไปส่งผลให้จำนวนผลผลิตที่เก็บได้ลดลงไปด้วย ประกอบกับชะมดเช็ดที่มีอยู่ในสภาพพื้นที่ป่าก็ลดจำนวนลงเช่นกัน ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถหาผลตอบแทนได้อย่างคุ้มค่าจนต้องเลิกกิจการในที่สุด ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้มีการเพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่มจำนวน โดยวิธีการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในการเพาะเลี้ยงให้แก่ผู้ที่สนใจ ตลอดจนหาตลาดรองรับผลผลิตให้กับผู้เพาะเลี้ยงชะมดเช็ดด้วย ข้อมูลทั่วไปของชะมดเช็ด ชะมดเช็ด มีรูปร่างลักษณะเป็นชะมดที่มีขนาดเล็ก ขาสั้น หูทั้งสองข้างอยู่ใกล้กัน มองไกลๆ ดูคล้ายแมว ขนตามลำตัวมีสีน้ำตาลเหลือง และมีจุดขนาดเล็กสีดำแทรกอยู่ทั่วไป ตามลำตัวมีแถบสีดำและสีขาวบริเวณคอ หางมีวงสีดำ 6-9 ปล้อง พาดขวางอยู่ ทำให้ดูมีลักษณะเป็นปล้องสีดำ ปลายหางมีสีขาว มีขนาดความยาวลำตัวและหัว 54-63 เซนติเมตร ความยาวหาง 30-43 เซนติเมตร น้ำหนัก 2-4 กิโลกรัม มีฟันหน้าเป็น 3/3 แต่ละซี่จะติดกันในขากรรไกรบน ฟันซี่สุดท้ายกับฟันเขี้ยวมักห่างกัน ฟันหน้ากรามที่สี่ของขากรรไกรบนและฟันกรามซี่แรกของขากรรไกรล่างจะประกบกันสำหรับใช้ฉีกอาหาร ตีนและเล็บเล็กและสั้น สามารถหดซ่อนได้ มีอุ้งตีนเฉพาะตีนหน้า ส่วนตีนหลังไม่ปรากฏอุ้งตีนแต่ประการใด มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ หรือเป็นเส้นโดยเฉพาะอุ้งตีนนิ้ว แม้จะเป็นสัตว์ผู้ล่า แต่ก็นับว่าชะมดเช็ดเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างเฉื่อยชา มีความก้าวร้าวน้อย แสดงความรู้สึกทางใบหน้าได้ไม่มากซึ่งต่างจากแมวและสุนัข หูสามารถตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นได้โดยตรงแต่ไม่สามารถหมุนได้ สามารถรับความรู้สึกได้จากเสียง แสง กลิ่น และความแตกต่างของสีได้หลายชนิด ขาหลังมีต่อมที่ใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างพวกเดียวกัน โดยจะหลั่งสารที่มีกลิ่นหอมเรียกว่า ''civet'' ซึ่งแปรผันไปตามเพศและอายุของสัตว์แต่ละตัว ไขของชะมดเช็ดมีกลิ่นล่อเพศตรงข้ามให้เข้าหาได้เป็นอย่างดี เมื่อเพศตรงข้ามได้กลิ่นจะมีความรู้สึกคึกคักเป็นพิเศษ และเที่ยววิ่งตามกลิ่นเข้ามาหาและจับคู่กัน เวลาพบศัตรูจะหันหน้าเข้าหา ยกหางขึ้น ขนตั้ง ส่งเสียงขู่พร้อมที่จะสู้ ถิ่นที่อยู่อาศัยของชะมดเช็ดอยู่ได้ทั้งป่าที่สมบูรณ์ ป่าที่ถูกทำลาย บริเวณใกล้ที่พักอาศัยของมนุษย์ ที่รกทึบหรือหญ้าขึ้นปกคลุมหนาแน่น มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตะวันออกของปากีสถาน อินเดีย ภาคใต้ของจีน ไต้หวัน เนปาล บังกลาเทศ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย เกาะสุมาตรา เกาะชวา และเกาะบาหลี มักหลบนอนอยู่ตามซอกหิน โพรงโครงต้นไม้ หรือตามรูตลิ่งของแม่น้ำ สัตว์ป่าชนิดนี้ออกหากินตั้งแต่ช่วงเย็นจนเกือบรุ่งสางของอีกวัน มักออกหากินตามลำพัง ในรัศมีระยะทางประมาณ 500 เมตร นานๆ ครั้งจะพบว่า ออกหากินเป็นคู่หรือกลุ่มเล็กๆ กินอาหารได้ทั้งที่เป็นพืชและสัตว์ เช่น ไส้เดือน ไข่แมลง มด ผึ้ง แมลงอื่นๆ หอยทาก ตะขาบ ก้ง ปู กิ้งกือ หอย แมงมุมและแมงป่อง ปลา สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน ซากสัตว์ นก กระแต ค้างคาว กระจง เป็นต้น และแม้กระทั่งกินสัตว์กินเนื้อด้วยกัน บ่อยครั้งพบว่า มักเข้าไปหากินรอบๆ ที่พักของมนุษย์เพื่อกินเศษอาหาร ซากสัตว์ ผลไม้ และฆ่าสัตว์เลี้ยงกินเป็นอาหาร เช่น เป็ด ไก่ เป็นต้น การล่าเหยื่อจะไม่ใช้กรงเล็บตะปบ แต่จะใช้เขี้ยวกัด และสะบัดอย่างรวดเร็ว รุนแรง อย่างต่อเนื่อง ทำให้เหยื่อกระดูกหัก และเส้นเลือดถูกกัดขาด จากนั้นจะใช้เขี้ยวกัดซ้ำจนตาย โดยจะกินใบหญ้าเข้าไปช่วยในการสำรอกเศษขนสัตว์ที่ติดตามกระเพาะอาหาร และทางเดินอาหารให้ออกมา การเพาะเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ กรงสำหรับเลี้ยงชะมดเช็ดควรมีขนาดความกว้างตั้งแต่ 1.2-2.5 เมตร ความยาว 2-3 เมตร และความสูง1.5-2 เมตร ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ หลังคากรงอาจทำเป็นหน้าจั่ว หรือเพิงหมาแหงนมุงด้วยหญ้าคาสังกะสี กระเบื้อง วัสดุที่ใช้เป็นโครงสร้างอาจเป็นพวกไม้ ก่อด้วยอิฐบล็อก หรือโครงเหล็ก ล้อมด้วยตาข่ายขนาด 1x1 นิ้ว พื้นกรงถมดิน ภายในกรงควรใส่โพรงไม้ธรรมชาติ โพรงไม้ที่ทำขึ้นมาเป็นท่อปูนที่มีขนาดใหญ่พอให้สัตว์ผ่านเข้าออกได้สะดวก สำหรับสัตว์ใช้เป็นที่พักผ่อนหลับนอนหรือหลบภัย ซึ่งควรจะมีอย่างพอเพียง พื้นกรงเป็นทรายหยาบ พื้นไม้ เทปูน และมีหลักไม้ปักไว้ให้ชะมดเช็ดไขของเหลว อาหารที่ใช้เลี้ยง ได้แก่ ปลาสด โครงไก่ ไข่ไก่ ข้าวสุกผสมอาหารสุนัขใหญ่ มะละกอสุก กล้วยสุก ใบหญ้า โดยให้อาหารพวกเนื้อสัตว์ประมาณ 200 กรัม ต่อวัน อาหารพวกผลไม้ประมาณ 100 กรัม ต่อวัน นอกจากนี้ ให้ใบหญ้าให้สัตว์ช่วยในการสำรอกเศษอาหารที่ติดกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารออกมา โดยจะให้อาหารวันละ 1 ครั้ง เวลาประมาณ 16.00 น. เป็นต้นไป ชะมดเช็ดจะผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุราว 2 ปี พฤติกรรมการเป็นสัดตัวผู้จะแสดงอาการเดินพล่านและร้องถี่ดัง ''ก๊อกๆๆๆ'' หรือทำเสียงแหลมดัง ''จิ๊ดๆๆๆ'' ทำบ่อยๆ พร้อมกับเดินเข้าหาตัวเมียอยู่เสมอ บางทีจะกัดที่ขาหลังของตัวเมียพร้อมกับทำปากและเดินวนรอบตัวเมีย สำหรับตัวเมียถ้าไม่มีอาการเป็นสัดจะขู่หรือกัดตัวผู้หรือร้องเสียงดังคล้ายแมว แต่ตัวเมียที่มีอาการเป็นสัดอวัยวะเพศจะบวมมีน้ำเมือก มีอาการเชื่องกับตัวผู้จะไม่กัดและขู่ เวลาผสมพันธุ์ตัวผู้จะทำปากเสียงดังแล้วกัดที่ต้นคอตัวเมียคล้ายแมวโดยจะใช้เวลาในการอยู่ด้วยกันประมาณ 1-2 วัน แล้วตัวผู้จะแยกออกจากกันโดยตัวเมียจะไม่ยอมให้เข้าใกล้อีก ออกลูกครั้งละ 1-5 ตัว ตัวเมียจะเลี้ยงลูกเอง ในระยะชะมดออกลูกจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่าทำให้ตกใจหรือมีสิ่งผิดปกติใด เพราะจะคาบลูกหนีหรือกินลูกตัวเอง การเพาะเลี้ยงเพื่อเก็บผลผลิต การเลี้ยงชะมดเช็ดเพื่อเก็บผลผลิต ควรเลี้ยงในกรงขนาดประมาณ 0.90x1x0.50 เมตร โดยยกพื้นสูงจากพื้นดินราว 70-100 เซนติเมตร เพื่อจำกัดพื้นที่ไม่ให้ชะมดวิ่งมากเกินไป อาจทำให้สัตว์ช้ำได้ วัสดุกรงควรทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรือไม้ไผ่ พื้นกรงตีด้วยไม้ระแนง และปูด้วยฟากไม้ไผ่สำหรับไว้ให้ชะมดนอน ไม้จะต้องขัดให้เรียบไม่มีเสี้ยนโดยใช้กาบมะพร้าวขัด และมีหลักไม้สำหรับให้ชะมดเช็ดไขของเหลว เลือกใช้ไม้ชนิดที่ไม่มียาง ไม่ดูดน้ำมัน ไม่มีสีหรือกลิ่น เช่น ไม้ตะแบก ไม้มูก ขัดให้เรียบ ซึ่งถ้าจะเลี้ยงกับพื้นดินจะทำให้คุณภาพของไขของเหลวสกปรก การเช็ดไขของเหลวของชะมดทั้งตัวผู้และตัวเมีย จะเริ่มเช็ดไขของเหลวเมื่อมีอายุประมาณ 1 ปี หรือมีพฤติกรรมการเช็ดตั้งแต่หย่านม โดยก่อนที่ชะมดจะเช็ดไขกับไม้ มันจะเดินวนรอบแล้วดมเลือกจุด จากนั้นจะยกหางขึ้น แล้วถอยหลังเข้าหาจุดเช็ดที่หลักไม้ เมื่อเสร็จแล้วจะเดินไปมาอีกหลายรอบ ตัวผู้จะส่งเสียงเมื่อเช็ดเสร็จ ในช่วงฤดูหนาวจะเช็ดไขของเหลวได้จำนวนมากกว่าฤดูอื่นๆ แต่จะมีการเช็ดไขของเหลวได้ตลอดปี ไขที่ออกมาจะมีลักษณะสีขาวๆ คล้ายน้ำมันจารบี ขี้ผึ้ง มีกลิ่นหอมเอียนๆ เย็นๆ คล้ายกลิ่นกำยาน แต่บางคนบอกว่ากลิ่นฉุน ซึ่งสารดังกล่าวประกอบด้วย free ammonia, resin, fat, volatile oil หากใช้วัสดุที่ขูดไขที่ทำด้วยเงิน สีของไขจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าใช้วัสดุอื่นขูดจะมีสีคล้ำไม่สวย ไขที่ขูดได้นี้จะต้องนำไปผสมหัวหอมและผิวมะกรูดที่หั่นเป็นฝอย |
http://www.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=0504151249&srcday=2006/12/15&search=no |
โดย: งาน: งานผลิตเอกสาร อ้างอิงแผนงาน : - อ้างอิงโครงการ : - แหล่งที่มา: ศุภชัย นิลวานิช |
Vote | |
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อฉัน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
มีประโยชน์ต่อทุกคน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
![]() |
![]() |