มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
ถ้าถามว่า วันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนมกราคมของทุกปี เป็นวันอะไร เด็กๆหลายคนคงแข่งกันตอบว่าก็ “วันเด็กแห่งชาติ” ไง ถูกต้องแล้วค่ะ แต่ทราบไหมเอ่ยว่าวันเด็กมีความเป็นมาอย่างไรและเกิดขึ้นเพราะเหตุใด ถ้ายังไม่ทราบ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จะขออธิบายพอสังเขปให้น้องๆได้ทราบต่อไป
วันเด็กแห่งชาติในประเทศไทย ได้ริเริ่มโดย นายวี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศ เป็นผู้เสนอต่อกรมประชาสงเคราะห์ให้มีการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญของเด็ก และเพื่อกระตุ้นเตือนให้เด็กได้ตระหนักถึงความสำคัญและหน้าที่ของตนเอง
โดยได้จัดขึ้นครั้งแรกในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๘ และได้จัดติดต่อกันมาเป็นประจำทุกปี จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๖ จึงมีความคิดว่าควรจะเปลี่ยนไปจัดงานวันเด็ก ในวันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนมกราคมแทน เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงที่พ้นจากฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ ซึ่งการจัดงานจะสะดวกแก่ทุกฝ่าย แต่ในปีถัดมา คือปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดในวันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนมกราคมในปีถัดไป คือปี พ.ศ.๒๕๐๘ จากนั้นมาวันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนมกราคม จึงเป็นวันเด็กแห่งชาติมาจนถึงบัดนี้ สำหรับวันเด็กแห่งชาติปีนี้ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐
สำหรับการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ นอกเหนือจากวัตุถประสงค์ที่จะให้เด็กทั่วประเทศได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคมแล้ว ยังเพื่อส่งเสริมให้เด็กได้มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ข้อสำคัญ เพื่อให้ผู้ใหญ่ในสังคมได้ตระหนักถึงความสำคัญ และสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กได้เติบโตในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าต่อไปในอนาคต
เด็กๆเคยสงสัยกันบ้างไหมว่าเด็กๆชาติอื่นๆ จะมีวันเด็กเช่นเดียวกับเด็กไทยหรือไม่ คำตอบก็คือ มีแน่นอน วันเด็กมิใช่มีเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ชาติอื่นๆเขาก็มีวันเด็กของเขาเช่นกัน ซึ่งแต่ละชาติก็จะกำหนดจัดงานและกิจกรรมวันเด็กแตกต่างกันไป เช่น วันเด็กของประเทศญี่ปุ่นตรงกับวันที่ ๕ พฤษภาคม อินเดียตรงกับวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน และอาร์เจนติน่าตรงกับวันอาทิตย์ที่สองของเดือนสิงหาคม เป็นต้น และ ทุกวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ของแต่ละปี องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นวันเด็กสากล (Universal Children Day) เมื่อทราบเกี่ยวกับเรื่องวันเด็กแล้ว คราวนี้เด็กๆก็อย่าลืมว่า เมื่อผู้ใหญ่ให้ความสำคัญกับเราแล้ว เราเองก็ต้องพัฒนาตนเองด้วยการหมั่นศึกษาหาความรู้ ขยันเล่าเรียนประพฤติตนเป็นคนดีของสังคมด้วย
เมื่อถึง “วันเด็กแห่งชาติ” ทุกปี สิ่งหนึ่งที่คู่กับวันเด็กเสมอก็คือ คำขวัญจากฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า” คำขวัญของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๐๒
“สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม” คำขวัญวันเด็กจาก นาย ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี พ.ศ.๒๕๓๕
“เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด” คำขวัญจาก พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร พ.ศ.๒๕๔๘
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังเคยพระราชทานพระบรมราโชวาทเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติว่า “คนทุกคนมีหน้าที่ต้องทำ แม้เป็นเด็กก็มีหน้าที่อย่างเด็ก คือ ศึกษาเล่าเรียน หมายความว่า จะต้องเรียนให้รู้วิชา ฝึกหัดทำการงานต่างๆให้เป็น อบรมขัดเกลา ความประพฤติและความคิดจิตใจให้ประณีต ให้สุจริต แจ่มใส และเฉลียวฉลาด มีเหตุผล เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถและมีประโยชน์ ต่อชาติบ้านเมือง”
และในปีมหามงคล ๒๕๕๐ นี้ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ก็ได้มอบคำขวัญวันเด็กมาแล้วว่า “ มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข”
ดังจะเห็นได้ว่าพระบรมราโชวาท และคำขวัญ ในวันเด็กแห่งชาติล้วนเป็นการเสนอแนะแนวทางให้เด็กสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติตนเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและประเทศชาติได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคำขวัญวันเด็กปี ๒๕๕๐ นี้ สอดคล้องกับสภาพสังคมเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เด็กๆซึ่งเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์เล็กๆ จะแข็งแกร่งเป็นต้นกล้าที่เติบโตพร้อมจะแผ่กิ่งก้านสาขาไปช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ใหญ่ในวันนี้ จะต้องหมั่นดูแลให้ความรัก ความเอาใจใส่ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้เด็กได้กลายเป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ข้อสำคัญ ผู้ใหญ่จะต้อง ต้นแบบที่ดี พร้อมจะเป็นหลักให้เด็กได้ยึดถือ เพื่อก้าวย่างไปสู่อนาคตของชาติร่วมกันอย่างมั่นคง และมั่น |