|
|
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ดังจะเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 8 (พ.ศ.2540-2544) ได้มีการปฏิรูปการศึกษาและกำหนดพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 ที่มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อพัฒนาเด็กให้เป็นคนเก่ง ดี มีความสุข และแนวโน้มของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) ได้เน้นการพัฒนา “คน” ต่อเนื่องไปอีก โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการสร้างคุณค่าที่ดีงามให้สังคมเป็นสังคมแห่งคุณภาพ ที่สามารถพึ่งตนเองได้ ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควรเริ่มตั้งแต่ระดับปฐมวัย ในช่วงอายุ 0-5 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาในทุกๆ ด้านโดยเฉพาะด้านสมองซึ่งมีอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุด อีกทั้งปัจจุบันแนวคิดในการพัฒนาเด็กที่เน้นด้านสมองกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากแนวคิดในการพัฒนาเด็กแบบเดิมที่แยกเป็นส่วน คือร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา อาจไม่ครอบคลุมกับความสามารถของเด็กที่หลากหลาย ซึ่งแนวความคิดใหม่จะมุ้งเน้นการพัฒนาเด็กแบบองค์รวม (Holistic) เพื่อให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพของแต่ละคนอย่างเต็มที่ตามความสามารถ ความเก่ง และความถนัดที่หลากหลายมากมาย ตามทฤษฎีพหุปัญญาของ โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ Howard Gardner - การพูด -การเขียน -การควบคุมด้านภาษา ท่าทาง สัญลักษณ์ - การวิเคราะห์ - การเห็นรายละเอียด - ระบบ ลำดับ - ความเป็นเหตุผล - ตรรก - การแสดงออก - ความคิดสร้างสรรค์ - จินตนาการ - ศิลปะ - การสังเคราะห์ - จังหวะ - การรับรู้ - ความงามความจำ - จิตใต้สำนึก - การเห็นภาพรวม - การกระทำหลายสิ่งพร้อมกัน พัฒนาสมองทั้งด้านซ้ายและด้านขวาให้เกิดความสมดุลได้มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ โรงเรียนต้องจัดให้มีระบบการพัฒนาสมรรถภาพสมอง การดื่มน้ำ น้ำทำให้เซลล์สมองทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพในระดับสูง การสูญเสียสมาธิ การลดถอยในการจดจำข้อมูล สาเหตุเพราะขาดน้ำ ดื่มน้ำบริสุทธิ์วันละ 6-8 ถ้วย การรับประทานอาหาร ความจำและการเรียนรู้เกี่ยวข้องกัน การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ สัมพันธ์กับการรับ ประทานอาหารที่ถูกหลัก อาหารที่ยังคงความสดทำให้สมองด้านซ้ายและด้านขวาประสานกัน การหายใจ สมองต้องการออกซิเจน ออกซิเจนช่วยให้กระบวนการคิดดี การฟังเพลง เสียงของดนตรีจะกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ และกระตุ้นการทำงานของสมองทั้งสองด้านให้สอดคล้องกันทั้งระบบ การฟังเพลงที่มีคุณภาพทำให้สมองผลิต Alpha waves และ Theta waves ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เกิดความคิดสร้างสรรค์ขั้นสูง เพิ่มความจำลึก การคลายความเครียด ความเครียดเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ต้องหาเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย จัดลำดับความสำคัญของงาน อย่าคิดว่าตัวเองไร้ค่า การบริหารสมอง การบริหารสมองทำให้สมองทำงานอย่า ทักษะที่เกี่ยวโยงกับความสามารถพิเศษของสมองแต่ละซีก สมองซีกซ้าย สมองซีกขวา -สัญลักษณ์ ภาษา การอ่าน การออกเสียง ลายมือ การฟังและการรับ การพูด การท่องจำปากเปล่า การเขียน -การรับรู้โดยการโยงสัมพันธ์ทางโสตประสาท (auditory association) -ตรรก/คณิตศาสตร์ -การมองเห็นรายละเอียดและข้อเท็จจริง -การทำตามคำสั่ง -การคิดที่มีรายละเอียด -การเรียงลำดับเหตุการณ์ -การเคลื่อนไหวที่สลับซับซ้อน -มิติสัมพันธ์รูปทรงและรูปที่เป็นนามธรรมและที่สลับซับซ้อน ความไวต่อสี การถ่ายทอด ทางศิลปะ -ดนตรี การขับร้อง -การคำนวณตัวเลข -การสร้างสรรค์ -การหลับตาและมองเห็นภาพ ความสามารถ ในการสร้างจินตภาพ(visualization) -การรับรู้สิ่งต่างๆ การมองเห็นภาพรวม(holistic) -อารมณ์ ความรู้สึก -สมาธิ -ความเชื่อต่างๆ การเกิดฌานหยั่งรู้ -การระลึกได้ทั้งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าและทันทีทันควัน -ประสาทสัมผัส วิธีรับรู้ของจิตที่อยู่ในอำนาจความนึกคิดของสมองซีกซ้ายและขวา สมองซีกซ้าย สมองซีกขวา -รับรู้จากส่วนย่อยไปหาส่วนใหญ่ (part-to-whole.linear) -รับรู้ในลักษณะสัญลักษณ์ (symbolic) -รับรู้ในลักษณะที่เรียงลำดับกัน (sequential) -รับรู้สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลถูกต้องตามตรรกวิทยา (logical) -ถ่ายทอดเป็นคำพูด การเขียน (verbal) -อาศัยความเป็นจริงเป็นพื้นฐาน (reality-based) -รับรู้เกี่ยวกับทางโลก (temporal) -การรับรู้สิ่งที่เป็นนามธรรม (abstract) -รับรู้สิ่งที่เป็นภาพรวมและสมบูรณ์ (holistic) -เห็นจริงจัง/เห็นประจักษ์ (concrete) -รับรู้สิ่งที่ไม่เป็นลำดับ(random) ใช้ฌานปัญญาหรือความรู้สึก/การรับรู้พิเศษ (intuitive) -ใช้ภาษาท่าทาง ที่ไม่ใช้คำพูด (nonverbal) -อาศัยจินตนาการเป็นแกน(fantasy-oriented) -ไม่เกี่ยวกับทางโลก(non-temporal) -คล้ายคลึงกัน(analogy) -ข้อความที่นำมาเปรียบเทียบกัน ความเป็นมาของทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) เมื่อปี ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) กระทรวงศึกษาธิการในกรุงปารีสได้ขอร้องให้นักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อ อัลเฟรด บิเนท์ (Alfred Binet) และคณะให้พัฒนาเครื่องมือสำหรับวัดนักเรียนประถมศึกษาที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นนักเรียนสอบตก เพื่อหาทางช่วยแก้ไข จากการพัฒนาเครื่องวัดนี้ทำให้เกิดแบบทดสอบเชาวน์ปัญญาขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก หลายปีต่อมาสหรัฐอเมริกาได้นำแบบทดสอบนี้ไปใช้และได้มีการสร้างแบบทดสอบกันเพิ่มเติม และใช้อย่างแพร่หลายดังเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า แบบทดสอบไอคิว (IQ) หรือแบบทดสอบเชาวน์ปัญญา แปดสิบปีหลังจากที่มีแบบทดสอบเชาวน์ปัญญาฉบับแรก นักจิตวิทยาชาวอเมริกาแห่งมหาลัยฮาร์วาร์ด ชื่อ โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ก็ได้ประกาศว่าโลกเราตีความหมายของความฉลาดหรือเชาวน์ปัญญาหรือสติปัญญาแคบไป การ์ดเนอร์เสนอในหนังสือ ชื่อ “ ขอบเขตของจิต ” (Frames of mind) เมื่อปี พ.ศ. 2526 (Gardner,1983) ว่า ความฉลาดหรือเชาวน์ปัญญาของมนุษย์นี้มีอย่างน้อยถึง 8 ด้าน การ์ดเนอร์เรียกทฤษฎีนี้ว่า “ทฤษฎีพหุปัญญา“ (Theory of Multiple Intelligences – M.I.) การ์ดเนอร์ต้องการจะรู้จักขอบเขตของศักยภาพความสามารถของมนุษย์ที่นอกเหนือไปจากคะแนนแบบทดสอบเชาวน์ปัญญา เขาตั้งข้อสงสัยถึงความเชื่อถือได้ของแบบทดสอบเชาวน์ปัญญาแบบต่างๆ ที่ดึงคนออกจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ และให้ทำหรือตอบเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เคยทำ การ์ดเนอร์บอกว่าความฉลาดหรือเชาวน์ปัญญาน่าจะเกี่ยวกับความสามารถใน 1.การแก้ปัญหาและ 2.ออกแบบงานและผลงานชนิดต่างๆ ในสถานการณ์ธรรมชาติ ความหมายของพหุปัญญา (Multiple Intelligences) พหุปัญญา คือ ความสามารถทางสติปัญญาหลายด้านซึ่งโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ เป็นผู้คิดทฤษฎีนี้ขึ้น ซึ่งเชื่อว่า สิ่งที่คนแต่ละคนแสดงออกมาเป็นสิ่งที่ผสมผสานระหว่างพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม (1993. : 88) เขาเชื่อว่าสติปัญญาหมายถึง โครงสร้างทางชีวจิตวิทยา ซึ่งจะเป็นตัวสร้างแหล่งทางความคิดของคนเราซึ่งจะส่งผลต่อเนื้อหาแต่ละด้าน และยังมีผลมาจากองค์ประกอบสำคัญ 2ประการ คือ พันธุศาสตร์และสังคมสติปัญญาตามความคิดของ การ์ดเน่อร์มี 8 ด้าน ความเชื่อ คนเรามีความรู้ความสามารถและศักยภาพในการเรียนรู้หลายด้าน : 1.ด้านภาษา (Language/Linguistic Intelligences) 2.ด้านตรรก/คณิตศาสตร์ (Logical/Mathematical Intelligences) 3. ด้านพื้นที่ (Spatial Intelligences) 4.ด้านการเคลื่อนไหวทางกาย (Bodily/Kinesthetic Intelligences) 5. ด้านดนตรี (Musical Intelligences) 6. ด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal Intelligences) 7. ด้านความเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligences) 8. ด้านธรรมชาติ (Naturalistic Intelligences) ลักษณะของพหุปัญญา สติปัญญา ลักษณะ ประเภทของบุคคล 1. ด้านคำพูด/ภาษา (Verbal/Linguistic) - เข้าใจคำสั่งและความหมายของคำ - ชอบอ่านเขียน เล่าเรื่อง - อธิบายได้ชัดเจน - ชอบสอนและชอบเรียน และเรียนได้ดี ถ้ามีโอกาสได้พูด ฟัง และเห็น - มีอารมณ์ขัน - มีความจำดี จำสถานที่ วันเดือนปี และสิ่งละอันพันละน้อยได้ - สามารถวิเคราะห์ด้านภาษาได้ดี - กวี - นักเขียน - นักพูด - นักโต้วาที 2. ด้านตรรก/ คณิตศาสตร์ (Logical/Mathematical) - สามารถจำสิ่งที่เป็นแบบแผนที่เป็นนามธรรมได้ - มีเหตุผลเชิงสรุปความสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ - ชอบทำการทดลอง ค้นหาคำตอบ ทำงานกับตัวเลข หาคำตอบด้านรูปแบบ และความสัมพันธ์ - ชอบคณิตศาสตร์ คิดในเชิงเหตุผล และสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดี - เรียนได้ดี โดยการจัดหมวดหมู่ แยกประเภท - วิทยาศาสตร์ - นักคณิตศาสตร์ - นักคิด - นักสถิต 3. ด้านดนตรี/จังหวะ (Musical/Rhythmic) - ชอบร้องเพลง ฟังเพลง ชอบเล่นดนตรี และตอบสนองต่อเสียงเพลง - แยกแยะจำทำนอง เรียนรู้จังหวะดนตรีได้เร็ว - เรียนจังหวะ เสียง และดนตรี ได้ดี - รู้จักโครงสร้างของดนตรี โครงสร้างในการฟังเพลง - ไวต่อเสียง - คิดท่วงทำนอง/จังหวะได้ - สัมผัสคุณภาพของเสียงได้ - นักดนตรี - นักแต่งเพลง - วาทยากร - วิศวกร 4. ด้านความถนัดทางกาย (Bodily Kinesthetic) - สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย รู้จักส่วนต่างๆ ของร่างกายและสามารถแสดงออกได้ - ชอบการเคลื่อนไหว สัมผัส และใช้ภาษาทางกาย (body Language) - ทำกิจกรรมที่ต้องใช้ร่างกาย เช่น กีฬา เต้นรำ การแสดงและประดิษฐ์สิ่งของได้ดี - มีความสามารถในการแสดงท่าทาง สามารถพัฒนาการทำงานของร่างกาย - เรียนได้ดีถ้ามีโอกาสสัมผัส เคลื่อนไหว และมีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่ว่าง และการสัมผัส - นักกีฬา - นักเต้นรำ - ศัลยแพทย์ - นักประดิษฐ์ 5. ด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial Relation) - สามารถมองเห็นแง่มุมต่างๆ ได้ - เห็นความสัมพันธ์ของพื้นที่ - สามารถแสดงออกด้วยภาพ - สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของสิ่งต่างๆ - สามารถหาทิศทางในที่ว่างได้ - สามารถจัดรูปฟอร์มต่างๆ ในสมองได้ - จินตนาการดี มองเห็นการเปลี่ยนแปลง อ่านแผนที่แผนภูมิได้ดี - เรียนได้ดีถ้าต้องใช้จินตนาการมีโอกาสใช้ความคิดอย่างอิสระ(ฝัน) ทำงานด้วยสี และภาพ - ชอบที่จะวาด สร้าง ออกแบบ ฝัน ศึกษาภาพนิ่ง ภาพยนตร์ และทดลองกับเครื่องจักรกล - - นักเดินเรือ - นักบิน - ประติมากร - ศิลปิน/นักวาดภาพ - สถาปนิก 6. ด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal) - เข้าใจผู้อื่น นำผู้อื่น จัดกลุ่ม สื่อสาร ระงับข้อพิพาทได้ - ทำงานเป็นกลุ่มได้ - แยกแยะความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ - สามารถสื่อความหมายโดยไม่ใช้ภาษาพูดได้ - ชอบมีเพื่อนมากๆ ชอบพูดกับคน และร่วมสังสรรค์กับคนอื่น - เรียนได้ดีถ้ามีโอกาสได้แบ่งปัน/ร่วมทำงาน เปรียบเทียบสัมพันธ์ให้ความร่วมมือ และมีโอกาสสัมภาษณ์ผู้อื่น - ครู - นักสังคม สงเคราะห์ - นักแสดง - นักการเมือง - พนักงานขายของ 7. ด้านความเข้าใจตนเอง (Intrapersonal) - มีสมาธิดี - เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน - มีความเข้าใจตนเอง ชอบคิดฝัน และหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึก/ความคิดของตนเอง และแสดงความรู้สึกของตนเองได้หลายๆ อย่าง - มีความรู้สึกที่เกี่ยวกับตัวตนของตนเอง - มีความคิดระดับสูงและมีเหตุผล - ขอบที่จะทำงานคนเดียว และสนใจติดตามสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษ เรียนได้ดีถ้ามีโอกาสทำงานโดยลำพังทำโครงการเดี่ยวๆ - แสวงหาความสำเร็จในความสนใจและเป้าหมายของตนเอง และต้องการเป็นผู้สร้างสรรค์ - เรียนโดยวิธีเรียนด้วยตนเอง ตามจังหวะการเรียนเฉพาะคน - นักจิตวิทยา - ผู้นำทางศาสนา - นักปรัชญา 8. ด้านการรักธรรมชาติ - เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ และปรากฎการณ์ธรรมชาติ - เข้าใจความสำคัญของตนเองกับสิ่งแวดล้อม และตระหนักถึงความสามารถของตนที่จะมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติ - เข้าใจถึงพัฒนาการของมนุษย์ และการดำรงชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย - เข้าใจและจำแนกความเหมือนกันของสิ่งของ - เข้าใจการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของสสาร - นักวิทยาศาสตร์ ดร.เยาวพา เดชะคุปต์ แปลมาจาก “Multiple Inteligence” เอกสารในการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “ทักษะการคิดรูปแบบการเรียนรู้ (Thinking Skill & Learning Style)” โดย Finkeistein , Leonard & Finkeiisten , Leila. (2541 ณ ห้องประชุมตึกชาญ อิสสระ 6-8 กุมภาพันธ์ 2541) พหุปัญญาเพื่อการเรียนรู้ รองศาสตราจารย์ ดร.เยาวพา เดชะคุปต์ ได้คิดรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดหาทฤษฎีพหุปัญญา ดังนี้ A Active Learning ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมอย่างมีชีวิตชีวา C Cooperative ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น A Analysis ผู้เรียนมีส่วนในการวิเคราะห์ประสบการณ์การเรียนรู้ C Constructivism ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง A Application ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ในชีวิตประจำวัน แผนภูมิสรุปทฤษฎีพหุปัญญา (ก) ปัญญา องค์ประกอบแกน ระบบสัญลักษณ์ ลักษณะผลผลิตสูงสุด ด้านภาษา ไวต่อเสียงของคำ, โครงสร้างความหมายและหน้าที่ของคำในภาษา ระบบภาษาที่มีการสะกดคำ นักเขียน, นักพูด เช่น เวอร์จิเนีย วูลฟ์ มาร์ตินลูเธอร์ คิง ด้านเหตุผลคณิตศาสตร์ มีความไวในการวินิจฉัยแบบแผนจำนวนและเหตุผล สามารถวิเคราะห์เหตุผลที่ซับซ้อน ภาษาคอมพิวเตอร์ (เช่น ปาสคาล) นักวิทยาศาสตร์ , นักคณิตศาสตร์ เช่น มาดาม คูรี, เบลส ปาสคาล ด้านมิติ สามารถรับรู้สิ่งที่มองเห็นภายนอกและแปลงกลับเป็นการรับรู้ภายในได้ ภาษารูปภาพ (เช่นภาษาจีน) จิตรกร , สถาปนิก เช่น ฟรีดา คาร์ไล และไอ.เอม.ไพ ด้านกายสัมผัส สามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายและมีความสามารถทางมือกับวัตถุ ภาษามือ , ภาษาเบรล นักกีฬา นักเต้นรำ นักปั้น เช่น เจสสี โฮเว , มาร์ธา แกรห์ม , ออกุสโรแดง ด้านดนตรี เข้าใจและสามารถผลิตจังหวะทำนอง และมีความเข้าใจซาบซึ้ง การแสดงออกทางดนตรี ระบบโน้ตดนตรี ระบบรหัสโทรเลข นักแต่งเพลง, นักแสดง เช่น สตีฟวี, วันเดอร์, มีโดรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ สามารถวินิจฉัยและปฏิบัติต่ออย่างเหมาะสมต่ออารมณ์และความต้องการของผู้อื่น สิ่งที่ช่วยให้รู้ในสังคม เช่น ท่าทาง การแสดงออกบนใบหน้า นักแนะแนว , นักการเมือง เช่น คาร์ล โรเยอร์ส , เนลสัน แมนดาลา ด้านตน สามารถจำแนกความรู้สึกของตนรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของตน สัญลักษณ์เกี่ยวกับตน เช่น ความฝัน ผลงานศิลปะ นักจิตบำบัด, ผู้นำทางศาสนา เช่น ซิกมันต์ ฟรอยด์,พระพุทธเจ้า (ข) ปัญญา ระบบประสาท ลักษณะพัฒนาการ วิธีการที่วัฒนธรรมยกย่อง ด้านภาษา ขมับด้านซ้ายและหูด้านหน้า (บริเวณโบรคาและเวมมิค) “ผลิดอกออกผล” ตั้งแต่วัยเด็กและอยู่ไปจนถึงวัยชรา การเล่านิทาน , วรรณคดี ฯลฯ ด้านเหตุผล-คณิตศาสตร์ ด้านหูซ้าย สูงสุดตอนวัยรุ่น และผู้ใหญ่ตอนต้นเริ่มเสื่อมถอยตั้งแต่อายุ ปี การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีคณิตศาสตร์, การนับและระบบแยกประเภท ฯลฯ ด้านมิติ บริเวณส่วนหลังของสมองซีกขวา ความคิดเชิงเรขาคณิต จะเริ่มตั้งแต่ปฐมวัย และคิดรูปแบบยูคลิดประมาณ 9-10 ปี แต่ความไวต่อศิลปะจะมีตั้งแต่เด็กจนวัยชรา ผลงานศิลปะ ,ระบบการนำทาง , การออกแบบสถาปัตยกรรม , การประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ฯลฯ ด้านกายสัมผัส เซเรเบลลัมและโมเตอร์ คอร์เทกซ์ แตกต่างกันตามลักษณะองค์ประกอบ เช่น ความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น และประเภทของการแสดงออก เช่น ยิมนาสติก เบสบอล การแสดงท่าใบ้ ผลงานประดิษฐ์ด้วยมือ เล่นกีฬา , การแสดงละคร , การเต้นรำ , การปั้น , แกะสลัก ฯลฯ ด้านดนตรี ขมับด้านขวา เป็นปัญญาที่พัฒนาก่อนสุด , อัจฉริยเด็กๆ จะผ่านวิกฤติการณ์พัฒนาหลายขั้น การแต่งเพลง , การแสดง , การอัดเทป ฯลฯ ด้านมนุษยสัมพันธ์ สมองซีกขวา และระบบลิมบิค ระยะ 3 ปีแรกของชีวิต เป็นระยะสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ชีวิต ผลงานการเมือง , ระบบธรรมนูญสังคม ด้านตน สมองด้านหน้า และระบบลิมบิค ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับผู้อื่นพัฒนาระหว่าง 3 ปีแรกของชีวิตซึ่งเป็นระยะวิกฤตในการพัฒนา ระบบศาสนา ,ทฤษฎีจิตวิทยา , พีธีกรรมต่างๆ (ค) ปัญญา การเริ่มต้นของวิวัฒนาการ ปรากฏในสัตว์อื่น องค์ประกอบทางประวัติศาสตร์ (คิดจากปี ค.ศ.1990หรือพ.ศ.2533) ด้านภาษา อักษรเขียนมีมา 30,000 กว่าปี ลิงออกชื่อได้ มีการถ่ายทอดภาษาทางวาจามาจนกระทั่งมีตัวหนังสือและการพิมพ์ ด้านเหตุผล-คณิตศาสตร์ ระบบจำนวนและปฏิทิน ผึ้งสามารถคำนวณระยะทางโดยการเต้นรำ มีความสำคัญมากขึ้นด้วยอิทธิพลของคอมพิวเตอร์ ด้านมิติ การวาดภาพฝาผนังในถ้ำ สัตว์หลายชนิดมีสัญชาติญาณของการมีพื้นที่ของตน มีความสำคัญมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีด้านการดูและวิดีโอ ด้านกายสัมผัส การใช้เครื่องมือของมนุษย์ยุคแรก การใช้เครื่องมือของสัตว์บางประเภท มีความสำคัญในยุคเกษตรกรรม ด้านดนตรี มีหลักฐานว่ามนุษย์สมัยแรกมีเครื่องดนตรี นกร้องเพลง มีความสำคัญมากในวัฒนธรรมที่ยังใช้การสื่อสารทางวาจา และการติดต่อสื่อสารจะใช้ดนตรีมาก ด้านมนุษยสัมพันธ์ ชีวิตในยุคแรกๆ จะมีการรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน และในการล่าสัตว์หาอาหาร ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกในสัตว์หลายชนิด มีความสำคัญมากขึ้นในเศรษฐกิจที่มีการบริการ ด้านตน พิธีกรรมทางศาสนาของมนุษย์ ในยุคแรกๆ ลิงซิมแปนซีสามารถรู้จักตนในกระจก , ลิงชนิดต่างๆ รู้จักกลัว มีความสำคัญมากขึ้นในสังคม อนาคตที่ซับซ้อนและต้องการความสามารถในการเลือก สรุป 1. ปัญญามีลักษณะเฉพาะด้านจากการศึกษาเรื่องสมอง 2. ทุกคนมีปัญญาทั้ง 8 ด้าน มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ซึ่งบางคนอาจจะมีปัญญาทั้ง 8 ด้านสูงมากแต่บางคน อาจจะมีเพียงหนึ่ง หรือสองด้าน ส่วนด้านอื่นไม่สูงนัก 3. ทุกคนสามารถพัฒนาปัญญาแต่ละด้านให้สูงขึ้นถึงระดับใช้การได้ ถ้ามีการให้กำลังใจ ฝึกฝนอบรม มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น ความร่วมมือของผู้ปกครอง การได้ประสบการณ์ ก็อาจจะเสริมสมรรถภาพของปัญญาด้านต่างๆ ได้ 4. ปัญญาต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้ การ์ดเน่อร์ ชี้แจงว่า การแบ่ง ลักษณะของปัญญาแต่ละด้านเป็นเพียงการอธิบายลักษณะของปัญญาแต่ละด้านเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว ปัญญาหลายๆ ด้านจะทำงานร่วมกัน เช่น ในการประกอบอาหาร ก็ต้องสามารถอ่านวิธีทำ (ด้านภาษา) คิดคำนวณปริมาณของส่วนผสม (ด้านคณิตศาสตร์) เมื่อประกอบอาหารเสร็จ ก็ทำให้สมาชิกทุกคนในบ้านพอใจ (ด้านมนุษย์สัมพันธ์) และทำให้คนเองมีความสุข (ด้านการเข้าใจรู้จักตนเอง) เป็นต้น การกล่าวถึงปัญญาแต่ละด้าน เป็นเพียงการนำลักษณะพิเศษเฉพาะออกมาศึกษา เพื่อหาทางใช้ให้เหมาะสม 5. ปัญญาแต่ละด้านจะมีการแสดงความสามารถหลายทาง เช่น บางคนไม่มีความสามารถด้านการอ่าน ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความสามารถทางภาษา เพราะเขาอาจจะเป็นคนที่เล่านิทานและเล่าเรื่องเก่ง ใช้ภาษาพูดได้คล่องแคล่ว หรือคนที่ไม่มีความสามารถทางกีฬาก็อาจจะใช้ร่างกายได้ดี ในการถักทอผ้า หรือเล่นหมากรุกได้เก่ง ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้แต่ในปัญญาด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะมีการแสดงออกถึงความสามารถหลากหลายการ์ดเน่อร์ เชื่อว่าแม้ว่าคนแต่ละคนจะมีสติปัญญาแต่ละด้านไม่เท่ากัน แต่ก็สามารถพัฒนาปัญญาทั้ง 8 ด้านนี้ได้ แบบสำรวจพหุปัญญาสำหรับผู้ใหญ่ โปรดทำเครื่องหมาย 3หน้าข้อความที่เป็นจริงกับตัวท่าน และท้ายแบบสำรวจแต่ละด้านจะมีเนื้อที่ให้ท่านเขียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลที่มิได้ปรากฎในนี้ ปัญญาทางด้านภาษา ______ หนังสือมีความสำคัญต่อข้าพเจ้า ______ ข้าพเจ้าสามารถจำคำในสมองได้ก่อนอ่าน พูด และเขียน ______ ข้าพเจ้าได้ประโยชน์จากการฟังวิทยุ หรือเทปมากกว่าจากการดูภาพยนตร์ หรือโทรทัศน์ ______ ข้าพเจ้าชอบเกมทางภาษา เช่น สแครบเบิล พาสเวิร์ด ______ ข้าพเจ้าชอบเล่นสนุกกับผู้อื่นในการเล่นคำ การแต่งกลอนตลก ฯลฯ ______ คนอื่นๆ มักจะถามข้าพเจ้าถึงความหมายของคำศัพท์ที่ข้าพเจ้าใช้ในการพูดหรือ เขียน ______ วิชาภาษา สังคมศึกษา เป็นวิชาที่ข้าพเจ้าเรียนได้ดีมากกว่าวิชาคณิตศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ ______ เวลาขับรถไปตามทางหลวง ข้าพเจ้ามักชอบอ่านคำโฆษณาหรือประกาศตามป้าย ข้างทางมากกว่าดูวิวข้างทาง ______ เวลาสนทนาข้าพเจ้าจะกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้อ่านหรือได้ฟังมา ______ เมื่อเร็วๆ นี้ข้าพเจ้าได้เขียนบทความที่ข้าพเจ้ารู้สึกภูมิใจและบทความนี้ทำให้ผู้อื่น รู้จักข้าพเจ้ามากขึ้น ความสามารถทางภาษาของท่าน (เพิ่มเติม)____________________________________ __________________________________________________________________________ ปัญญาทางด้านเหตุผลและคณิตศาสตร์ ______ ข้าพเจ้าสามารถคิดคำนวณในใจได้ดี ______ วิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ข้าพเจ้าชอบเมื่อเป็นนักเรียน ______ ข้าพเจ้าชอบเล่นเกมที่ต้องคิดเป็นเหตุเป็นผล ______ ข้าพเจ้าชอบทำการทดลองประเภท “อะไรจะเกิดขึ้น …. ถ้า” (เช่น จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้าพเจ้าเพิ่มน้ำที่จะใช้รดกุหลาบเป็นสองเท่า) ______ ข้าพเจ้าชอบคิดหารูปแบบ หลักการจากความเป็นเหตุเป็นผลของสิ่งของ เหตุการณ์ ______ ข้าพเจ้ามีความสนใจในพัฒนาการใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ______ ข้าพเจ้าเชื่อว่าเกือบทุกสิ่งในโลก สามารถหาคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลได้ ______ บางทีข้าพเจ้ามักจะคิดเชิงนามธรรมที่ไม่มีภาษาหรือรูปร่าง ______ ข้าพเจ้าจับผิดในเรื่องเกี่ยวกับเหตุผลในสิ่งที่ผู้อื่นทำทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ______ ข้าพเจ้าจะรู้สึกสบายใจ ถ้าสิ่งต่างๆ มีการจัดหมวดหมู่ วัด คำนวณ วิเคราะห์ ความสามารถทางด้านเหตุผลและคณิตศาสตร์ของท่าน (เพิ่มเติม)_____________________ __________________________________________________________________________ ปัญญาทางด้านมิติ ______ ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนเมื่อหลับตา ______ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกไวต่อสี ______ ข้าพเจ้าชอบบันทึกภาพด้วยกล้องถ่ายรูป เพื่อบันทึกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น ______ ข้าพเจ้าชอบเล่นเกมตัดต่อ และเกมที่ใช้ตา ______ เวลาฝันตอนกลางคืน ข้าพเจ้าจะเห็นภาพชัดเจน ______ ข้าพเจ้ามักจะหาทางกลับได้ถูกในที่ที่แปลกใหม่ ______ ข้าพเจ้าชอบวาดรูป หรือขีดเขียน ______ ข้าพเจ้าจะถนัดวิชาเรขาคณิตศาสตร์มากกว่าวิชาพีชคณิตขณะที่เรียนในโรงเรียน ______ ข้าพเจ้ามักจะคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยมองจากเบื้องบนเพื่อให้เห็นภาพทั้งหมด ______ ข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือที่มีรูปภาพมากๆ ความสามารถทางด้านมิติของข้าพเจ้า (เพิ่มเติม)_________________________________ _________________________________________________________________________ ปัญญาทางด้านร่างกายและสัมผัส ______ ข้าพเจ้าเล่นกีฬาอย่างน้อยชนิดหนึ่งเป็นประจำ ______ ข้าพเจ้ามักจะนั่งเฉยๆ ไม่ได้นาน ______ ข้าพเจ้าชอบทำงานด้วยมือ เช่น ตัดเย็บ ถักทอ งานไม้ งานปั้น ______ ความคิดดีๆ ของข้าพเจ้ามักจะเกิดขึ้นขณะที่ข้าพเจ้าเดินหรือวิ่งออกกำลัง หรือขณะ ที่ทำงานด้วยมือ ______ ข้าพเจ้าชอบอยู่กลางแจ้ง ______ ข้าพเจ้ามักจะใช้มือหรือออกท่าทางเวลาพูดคุย ______ ข้าพเจ้าจำเป็นต้องได้สัมผัสกับสิ่งของจริงๆ เพื่อจะเรียนรู้ให้มากเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ ______ ข้าพเจ้าชอบเล่นหรือแสดงที่ตื่นเต้นและเสี่ยงภัย ______ ข้าพเจ้าเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ทางร่างกายดี ______ ในการเรียนรู้ทักษะใหม่ ข้าพเจ้าจำเป็นต้องฝึกหัดจริงๆ มิใช่จากการอ่านหรือดูวิดีโอ ที่แสดงวิธีการ ความสามารถทางด้านร่างกายและสัมผัส (เพิ่มเติม)_______________________________ _________________________________________________________________________ ปัญญาทางด้านดนตรี ______ ข้าพเจ้าร้องเพลงได้ไพเราะ ______ ข้าพเจ้าสามารถบอกเสียงดนตรีที่ผิดได้ ______ ข้าพเจ้ามักจะฟังดนตรีจากวิทยุ เทป บ่อยๆ ______ ข้าพเจ้าเล่นเครื่องด |
Havard Gardner |
โดย: งาน: งานนโยบายและแผน อ้างอิงแผนงาน : - อ้างอิงโครงการ : - แหล่งที่มา: http://www.thai.net/kindergarten |
Vote | |
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อฉัน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
มีประโยชน์ต่อทุกคน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |