[ Home ]  [ Today 's Event ]  [ FAQ ]  [ บันทึกงาน ]
User: Passwd:
ค้นหาข้อมูล:

การหาความรู้

การหาความรู้
สมัยนี้ มีการบันทึกความรู้ต่างๆ ไว้หลายรูปแบบ เช่น หนังสือ การหาความรู้จึงเพียงแต่ การหามาอ่านศึกษา แต่ก็อาจไม่สำเร็จ เพราะ 1. ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน 2. หามาได้แล้ว แต่อ่านไม่เข้าใจ 
อย่างไรก็ตาม ในที่นี้จะกล่าวถึง วิธีการหาความรู้ใหม่วิธีต่างๆ ของคนเราตั้งแต่สมัยโบราณเรื่อยมา ในสมัยที่กรีกรุ่งเรือง มีคนฉลาดมากมาย บุคคลเหล่านี้ชอบใช้สมองคิด ใช้เหตุผลเพื่อสรุปว่า ความจริงน่าจะเป็นอย่างไร คนที่ฉลาดที่สุดในสมัยนั้น ชื่อ อริสโตเติล ซึ่งนักชีววิทยาสมัยปัจจุบัน ก็ยกย่องว่าเก่ง เช่น พบว่า ปลาวาฬเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่นั่นเป็นการพบโดยการสังเกต ไม่ใช่การคิด สิ่งที่อริสโตเติลพบโดยการคิดทางสมอง และไม่ถูกต้อง มักเป็นเรื่องทางฟิสิกส์ เช่น บอกว่า ของหนักตกลงพื้นดินเร็วกว่าของเบา หรือดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก เป็นต้น 

จนกระทั่งอีกนับพันปีต่อมา กาลิเลโอ จึงขึ้นหอเอียงและแสดงหรือพิสูจน์ว่า ของหนักของเบา ต่างตกลงสู่พื้นดินเร็วเท่ากัน นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนเรามองเห็นว่า การทดลองเป็นวิธีหาความจริง ที่ดีกว่าการนั่งคิดแต่เพียงอย่างเดียว ที่จริงน่าเห็นใจอริสโตเติล เพราะแกอาจจะเคยสังเกตจริงๆ ว่า ใบไม้ตกพื้นช้ากว่าก้อนหิน แต่นั่นเป็นเพราะอากาศ ถ้าไม่มีอากาศมันจะตกเร็วเท่ากัน 

ในสมัยกรีกนั้น ทุกคนมีความรู้สึกว่า ดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก มีน้อยคนที่เชื่อว่า โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ แม้แต่อริสโตเติลและคนอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงก็เชื่อว่าดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก ต่อมาอิทธิพลทางศาสนาเข้ามาเสริม เกิดความยึดมั่นว่าโลกเป็นศูนย์กลาง แม้อีกพันปีต่อมาถึงสมัยกาลิเลโอ ผู้ที่มีความเชื่อที่ไม่สอดคล้อง เช่น เชื่อว่ามีโลกหลายโลกอยู่ห่างออกไป ก็ยังถูกลงโทษถึงตาย กาลิเลโอเองก็เคยถูกขังในคุก 

ก็น่าเห็นใจที่คนเราเข้าใจผิดอยู่เป็นเวลานาน เพราะไม่มีวิธีพิสูจน์ให้เห็นชัดได้โดยง่าย แต่ในปัจจัย วงการศาสนาไม่มีข้อข้องใจในเรื่องโลกอีกแล้ว สมัยนี้ที่สำนักวาติกัน มีหอดูดาวและ มีการประชุมทางดาราศาสตร์เป็นครั้งคราว คำสอนทางศาสนาที่ว่า พระเจ้าสร้างโลก ก็สอดคล้องกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีการระเบิดตูม และเกิดโลกขึ้นมา 

ในสมัยก่อน ทางศาสนาถือคนเป็นสำคัญ เป็นศูนย์กลาง จึงไม่ยอมให้โลกของคนไปโคจรรอบดาวอื่น และเชื่อว่าไม่มีโลกอื่นอีกแล้ว สมัยนี้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามาก ก็มีนักดาราศาสตร์หลายคนเชื่อว่า การที่มีเอกภพเกิดขึ้นมา ก็เพื่อให้มีคน ซึ่งมีตามีสมองที่จะเห็นความสวยงามของเอกภพ ถ้าโลกเรามีเพียงลิงซึ่งไร้ความฉลาดก็รู้สึกว่าเป็นการสูญเปล่าที่จะมีเอกภพ สรุปได้ว่า ก็แล้วแต่ว่ากันไปตามสติปัญญา อีกพันปีข้างหน้า อาจจะมีการพูดอีกแบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างออกไป 

ในสมัยโบราณ วิชาเรขาคณิตก็ก้าวหน้ามาก และผู้คนจะชื่นชมรูปทรงกลมว่าเป็นรูปที่มีความงาม อย่างยิ่ง อริสโตเติลถือว่าโลกเป็นศูนย์กลาง แต่ก็ให้ท้องฟ้าประกอบด้วยทรงกลมมากมายอันเป็นที่อยู่ ของดวงจันทร์ ดวงดาว เมื่อคนเราประสบความสำเร็จครั้งแรกที่ยอมรับว่า โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ วงโคจรของโลกและดาว ก็ถูกกำหนดให้เป็นวงกลมทั้งนั้น จนกระทั่งมีนักดาราศาสตร์ชื่อ เคปเลอร์ อุตส่าห์สังเกตการโคจรของดาวอังคารเป็นเวลานานแรมปี จึงสรุปได้ว่า วงโคจรของดาวอังคาร เป็นรูปไข่ไม่ใช่วงกลม รูปไข่ที่กล่าวนี้คนโบราณก็รู้จักดี แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นวงโคจรของดวงดาว 

ที่กล่าวมาทั้งหมด ยังไม่มีคำอธิบายว่า ทำไม ดาวจึงโคจรเป็นรูปไข่ มีแรงอะไรมาผลักมาดัน หรืออย่างไร เคปเลอร์คิดว่ามีแรงมาดันที่ท้ายดวงดาว แบบคนเข็นรถ แต่ นิวตัน คิดว่ามีการดึงดูด ระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงดาว ซึ่งเป็นความคิดที่แหวกแนวมาก เพราะดาววิ่งไปอีกทางหนึ่ง มิได้วิ่งเข้าหาดวงอาทิตย์ มีเรื่องเล่าว่า นิวตันพบเรื่องเหล่านี้ คือการดึงดูด เพราะขณะที่คิดอยู่ มีผลไม้ตกลงพื้นดิน (บ้างก็ว่าตกลงหัวนิวตัน) กล่าวได้ว่าเคปเลอร์ พบว่า ดาวโคจรเป็นรูปไข่ และนิวตัน สามารถอธิบายได้ว่าแรงดึงดูดทำให้ดาวโคจรเป็นรูปไข่ 

ตั้งแต่สมัยนิวตัน คนเราเชื่อว่า หลักใหญ่ๆ ของวิชากลศาสตร์นับว่ารู้หมดแล้ว แต่ต่อมาเมื่อคนเรา เล่นกับของที่วิ่งเร็วมากๆ ก็พบว่า มวลของวัตถุ หรือความยาว ซึ่งคิดกันว่าไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงทำท่า จะไม่คงที่ขึ้นมา และ ไอน์สไตน์ สามารถอธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้ได้ โดยตั้งทฤษฎีง่ายๆ ว่า ทุกคนไม่ว่า วิ่งตามแสง วิ่งทวนแสงหรืออยู่เฉยๆ จะเห็นแสงเร็วเท่ากันหมด ซึ่งทฤษฎีนี้ ขัดกับสามัญสำนึกอย่างยิ่ง แต่ก็สามารถอธิบายได้หมดว่า ทำไมความยาวหรือเวลา หรือมวลจึงเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนั้นยังอธิบายได้อีกว่า สสารอาจกลายเป็นพลังงานได้ 

จากที่ไอน์สไตน์ระบุว่า สสารกลายเป็นพลังงาน หรือพลังงานกลายเป็นสสารได้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์คิดต่อ และทำนายว่า นอกจากอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบแล้ว ยังจะมีอิเล็กตรอนที่มีประจุบวกด้วย ต่อมาจึงมีการพบอนุภาคที่มีประจุบวก จากการทดลองจึงเป็นที่ยอมรับกัน สังเกตได้ว่า การพบสิ่งหนึ่งทำให้ค้นคว้าต่อเพื่อพบอีกสิ่งหนึ่ง แต่ต้องมีการพิสูจน์ด้วยการทดลองเสมอไป นักฟิสิกส์ใช้วิชาคณิตศาสตร์เป็นหลักในการค้นคว้าด้วย 

ถึงแม้นักฟิสิกส์จะพบอะไรต่ออะไรมากมาย แต่ก็ยังไม่รู้อีกมากมาย เช่น ของธรรมดาๆ อย่างแสง เมื่อทดลองคุณสมบัติทางคลื่นก็พบว่า แสงเป็นคลื่น พอทดลองคุณสมบัติทางการเป็นอนุภาคก็พบว่า แสงเป็นอนุภาค เลยต้องถือว่ามันเป็นทั้งสองอย่าง 

ที่กล่าวมาแล้วเป็นการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ และถือว่า การพิสูจน์โดยการทดลอง เป็นความจำเป็น และได้มีการนำหลักการนี้ไปใช้ในสาขาวิชาอื่นมากมาย เช่น อยากรู้ว่า คนเราชอบกินอะไร ก็ออกแบบสอบถาม หรืออยากรู้ว่าจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ออกแบบสอบถาม 

ล่าสุด นักฟิสิกส์คิดว่า โปรตอนจะสลายตัวได้ และมีการทดลองเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้อยู่ แม้วิทยาศาสตร์จะเป็นการค้นคว้าหาความจริงในธรรมชาติซึ่งมนุษย์ใช้กันอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังพิสูจน์ผีไม่ได้ แม้แต่เรื่องโหราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็ว่าเหลวไหล แต่ก็มีคนเชื่อโหราศาสตร์มากมาย เราพูดถึงการทำสมาธิ และเชื่อกันว่า การทำสมาธิเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้รู้อะไรต่ออะไรอย่างกว้างขวาง น่าเสียดายที่ผู้ที่รู้โดยทางนี้ มักจะบอกว่าไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นฟังเข้าใจได้ แถมยังมีการกล่าวว่า ผู้ที่อธิบายได้คือ ผู้ที่ไม่รู้ ผู้ที่รู้จะไม่อธิบาย 

แต่เราก็ทราบว่า (ฟังเขาเล่า) ถึงขั้นหนึ่งคนเราจะระลึกชาติได้ และล่วงรู้ว่า คนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าจะทราบหรือไม่ว่าโปรตอนสลายตัวได้จริงหรือไม่ 

โดย..วิชัย หโยดม 


--------------------------------------------------------------------------------
จาก http://update.se-ed.com/163/khowledge.htm





SE-ED


โดย:
งาน: งานนโยบายและแผน
อ้างอิงแผนงาน : -
อ้างอิงโครงการ : -
แหล่งที่มา: http://update.se-ed.com/163/khowledge.htm

ขอบคุณสำหรับการโวตท์
Vote
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง
เป็นประโยชน์ต่อฉัน
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน
มีประโยชน์ต่อทุกคน
บุคลากร 0 บุคคลภายนอก 0

อ่าน 0 ครั้ง