|
|
พระไตรปิฎก คืออะไร ? ๑.๑ ความหมายของพระไตรปิฎก ศาสนาทุกศาสนาในปัจจุบัน มีคัมภีร์หรือตำราทางศาสนาเป็นหลักในการสั่งสอน แม้ว่าแต่เดิมจะมิได้มีการขีดเขียนเป็นอักษรก็ตาม แต่เมื่อมนุษย์ได้มีพัฒนา การทางด้านการพิมพ์คัมภีร์ทางศาสนาจึงได้รับการพิมพ์ด้วยเช่นกัน พระไตรปิฎก ก็เป็นคัมภีร์หลักในพระพุทธศาสนา ดุจคัมภีร์ไบเบิลของคริสต์ศาสนา คัมภีร์ อัลกุรอาน ในศาสนาอิสลาม และคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ ตามรูปศัพท์ คำว่า ''พระไตรปิฎก'' แยกศัพท์ออกเป็นพระ+ไตร+ปิฎก คำว่า พระ เป็นคำยกย่องแปลว่า ประเสริฐ ไตร ในภาษาบาลีใช้คำว่า ติ แปลว่า ๓ ปิฎก บาลีใช้คำว่า ปิฎก แปลได้ ๒ นัยคือ ๑. หมายถึง ภาชนะ (ภาชนตฺโถ) เช่นตะกร้า ดังประโยคบาลีที่ว่า อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺยํ กุทฺทาลปิฏกมาทาย แปลว่า คราวนั้น บุรุษคนหนึ่ง ได้ถือจอบและตะกร้ามา ๒. หมายถึง คัมภีร์ หรือตำรา (ปกณมฺปิ ปิฏกนฺติ วุจฺจติ) ดุจในประโยค ในกาลามสูตรว่า มา ปิฏกสมฺปทาเนน ท่านอย่าเชื่อเพียงเพราะอ้างตำราหรือคัมภีร์ ดังนั้น พระไตรปิฎก จึงหมายถึงคัมภีร์หรือตำราที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดเป็นหมู่ ไม่ ให้กระจัดกระจายคล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะสำหรับใส่ของฉะนั้น ๑.๒ จากพระธรรมวินัย สู่พระไตรปิฎก บทพระธรรมคุณที่มีอยู่ในพระสูตรหลายสูตร เช่น ธชัคคสูตร ได้แสดงไว้ชัด ว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ซึ่ง แปลว่าพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ ดีแล้ว จะเห็นว่า คำว่า พระธรรมในที่นี้ หมายเอาทั้งธรรมและวินัย ที่พระ องค์ตรัสและบัญญัติไว้ทั้งหมด หรือคำที่ให้อุปสมบทแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาว่า สฺวากฺขาโต ธมฺโม พฺรหฺมจริยํ จรถ สมฺ มาทุกฺขอนฺตกิริยาย ซึ่งแปลว่า ''ธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้ว ท่านทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดย ชอบ'' คำว่าธรรมในที่นี้จึงหมายเอาทั้งวินัยที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ และธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ต่อมาในสมัยใกล้จะปรินิพพาน มีศัพท์คู่ซึ่งพระองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ก่อนแต่จะปรินิพพาน ซึ่งปรากฏ ในมหาปรินิพพานสูตรว่า โย โว อานนฺท ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา ซึ่งแปลว่า ดูกร อานนท์ ธรรมวินัยที่เราแสดงบัญญัติไว้แก่พวกเธอ นั่นแหละจะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายเมื่อเราสิ้นไป มาถึงตอนนี้จะเห็นว่า ทรงตรัสไว้ชัดว่า พระธรรมและพระวินัย พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายว่า คำว่า ธรรม นั้นหมายถึง นิกายห้า คือ ทีฆนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย แต่ขุททกนิกายนั้น ได้รวมเอา อภิธรรมปิฎก หรือ สัตตัปปกรณ์เข้าไว้ด้วย แม้การสังคายนาครั้งแรก พระมหากัสสปเถระ ก็กล่าวชักชวนพระอรหันต์ทำการสังคายนาพระธรรมวินัยว่า หนฺท มยํ อาวุโส ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายาม แปลว่า เชิญเถอะ ท่านผู้อาวุโส เราจะสังคายนาพระธรรมและพระวินัยกัน (๗/๖๑๔/๓๘๐) คำว่า พระไตปิฎก ยังไม่มีกล่าวไว้ชัดเจน คงเรียกรวมว่าพระธรรมวินัย ดังได้กล่าวแล้ว แต่มีข้อความหลายแห่ง ในพระวินัยและพระสูตรที่มีคำว่า พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรมไว้ครบ เช่นในมหาวิภังค์ สังฆาทิเสสข้อที่ ๗ ที่ กล่าวไว้ว่า ทพฺโพ มลฺลปุตฺโต สภาคานํ ภิกฺขูนํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ, เย เต ภิกฺขุ สุตฺตนฺติกา, เตสํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ “เต อญฺญมญฺญํ สุตตนฺตํ สงฺคายิสฺสนฺตีติ, เย เต ภิกฺขุ วินยธรา, เตสํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ ''เต อญฺญมญฺ ญํ วินยํ วินิจฺฉินิสฺสนฺตีติ, เย เต ภิกฺขุ อาภิธมฺมิกา, เตสํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ ''เต อญฺญมญฺญํ อภิธมฺมํ สากจฺฉิสฺสนฺตีติ. แปลว่า พระทัพพมัลลบุตร ย่อมจัดเสนาสนะไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แก่ภิกษุทั้งหลายที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน กล่าวคือ ภิกษุเหล่าใดศึกษาเล่าเรียนพระสูตร ก็จัดเสนาสนะให้ภิกษุเหล่านั้นไว้ในกลุ่มเดียวกัน ด้วยคิดว่า พวกเธอ จะได้สอบสวน พระสูตรกะกันและกัน ผู้ทรงวินัยก็จัดเสนาสนะไว้เดียวกัน ด้วยคิดว่า ภิกษุเหล่านั้นจะได้ วินิจฉัย ข้อ วินัย กะกันและกัน ภิกษุเหล่าใดเล่าเรียนพระอภิธรรม ก็จัดเสนาสนะ สำหรับภิกษุเหล่านั้นไว้กลุ่มเดียวกัน ด้วยคิดว่า ภิกษุเหล่านั้นจักสนทนาพระอภิธรรมกะกันและกัน (๑/๕๔๓/๓๖๙) อนึ่ง ในภิกขุณีวิภังค์ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๒ ว่า ปญฺหํ ปุจฺเฉยฺยาติ สุตฺตนฺเต โอกาสํ การาเปตฺวา วินยํ วา อภิธมฺมํ วา ปุจฺฉติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ วินเย โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา อภิธมฺมํ วา ปุจฺฉติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ อภิธมฺเม โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา วินยํ วา ปุ จฺฉติ อาปตฺติปาจิตฺติยสฺสฯ แปลความว่า ภิกษุณี ผู้ถามปัญหากับภิกษุ ขอโอกาสอันใดต้องถามอันนั้น ถ้าขอโอกาสถามพระสูตรแล้ว กลับ ไปถามพระวินัยก็ดี ถามพระอภิธรรมก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ขอโอกาสถามพระวินัยกลับไปถามพระสูตร หรือพระ อภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ขอโอกาสถามพระอภิธรรม กลับไปถามพระสูตรหรือพระวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ (๓/๔๗๗/๒๕๕) ยังมีข้อความใน อปทาน อุบาลีเถรวัตถุ หน้า ๖๓ มีว่า สุตฺตนฺตํ อภิธมฺมญฺจ วินยญฺจาปิ เกวลํ นวงฺคํ พุทฺธวจนํ เอสา ธมฺมสภา ตว แปลว่า (ข้าแต่พระจอมมุนี) พระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย รวมพุทธวจนะ มีองค์ ๙ ทั้งสิ้นนี้ เป็นธรรมสภา ของพระองค์ ฯลฯ ข้อความดังกล่าวแสดงถึงการเรียกพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม ได้มีมานานแล้ว แต่ยังไม่แยกออกชัด เป็น พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระ อภิธรรมปิฎก อย่างที่ปรากฏในยุคตั้งแต่สังคายนาครั้งที่ ๓ เป็นต้นมา ดังคำบาลีว่า เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ นาม พุทฺธสฺส ภควโต ธมฺมวินยสฺส สโมธานํ โหติ แปลว่า พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก เป็นที่รวมแห่งพระธรรมวินัยขององค์ภควันต์พุทธเจ้า ๑.๓ จากมุขปาฐะสู่การจารึกใบลาน ตำราที่บรรจุพระพุทธพจน์ ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ได้สังคายนา หรือรวบรวมไว้เป็นหมวด เรียกว่า พระ ไตรปิฎก ได้ถ่ายทอดกันมาโดยระบบมุขปาฐะ หรือท่องจำ (Oral Tradition) ดุจสมัยก่อนๆ ในประเทศไทยของเราก็มี การนิยมต่อหนังสือค่ำ เจ็ดตำนานสิบสองตำนาน หรือท่องพระปาติโมกข์ โดยอาศัยการท่องปากต่อปากจากครูบา อาจารย์ จนจำได้แม่นยำ และสืบต่อกันมาถึงอนุชนรุ่นหลังพระไตรปิฎกก็เช่นกัน ตั้งแต่สังคายนาครั้งแรก ศิษย์สาย พระอุบาลีก็จดจำพระวินัยปิฎก ศิษย์สายพระอานนท์ ก็จดจำพระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกสืบๆ กันมาโดยมิ ได้ขาดสาย ตัวอย่างสายพระอุบาลี ที่ท่านแสดงไว้ตามลำดับ ออกนามเฉพาะหัวหน้าสายดังนี้ ในอินเดีย พระอุบาลีเถระ พระทารกเถระ พระโสณกเถระ พระสิคควเถระ พระโมคคัลลีบุตรเถระ ในลังกา พระมหินทเถระ พระอิฏฏิยเถระ พระอุตติยเถระ พระสัมพลเถระ พระภัททนามเถระ ฯลฯ การท่องจำนี้ ได้กระทำมาจนถึงสังคายนาครั้งที่ ๕ ในลังกาทวีป (ถ้านับเฉพาะที่ทำสังคายนาในศรีลังกาก็เป็นครั้งที่ ๒) ประมาณ พ.ศ. ๔๓๓ ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย โดยมีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน ทำที่อาโลกเลณ สถาน ณ มตเลชนบท หรือที่เรียกว่า มลัยชนบท สาเหตุของการจารึกพระพุทธวจนะลงในใบลานก็เพราะว่า ถ้าจะใช้ วิธีท่องจำพระพุทธวจนะต่อไป ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาด ได้ง่าย เพราะปัญญาในการท่องจำของกุลบุตรเสื่อมถอยลง นอกจากนั้นพระสงฆ์ยัง ได้รับความกระทบกระเทือนจากภัยธรรมชาติและภัยสงครามอยู่เนืองๆ ทำให้ไม่มีเวลาท่องจำ พระพุทธวจนะจะทำให้ช่วงการสืบต่อขาดลงได้ มีคำกล่าวว่า ในการจารึกครั้งนี้ได้จารึกอรรถกถาลงไว้ด้วย มีผู้สงสัยว่า สมัยพุทธกาลคนไม่รู้จักการเขียนหนังสือหรืออย่างไร? จึงไม่ปรากฏว่ามีตำรับตำราจารึกไว้เป็น หลักฐาน แม้บริขารที่สำคัญของพระภิกษุ ก็ไม่ระบุหนังสือไว้ด้วย พระมหาเสฐียรพงษ์ ปุณฺณวณฺโณ ได้ประมวลทัศนะนี้ไว้ในหนังสือ ภาษาศาสตร์ ภาษาบาลี*(*พระมหาเสฐียร พงษ์ ปุณณวณโณ ภาษาศาสตร์ภาษาบาลี, ชุดวรรณไวทยากร, กรุงเทพฯไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๑๔) ไว้ว่า ''ความจริง การเขียนหนังสือน่าจะมีมาก่อนพุทธกาลแล้ว ในพระไตรปิฎกเองก็มีข้อความเอ่ยถึงการขีดเขียนเป็นครั้งคราว เช่น ตอนหนึ่ง ห้ามภิกษุเล่นเกม ''อักขริกา'' ได้แก่ การทายอักษรในอากาศ หรือบนหลังเพื่อนภิกษุ วิชาเขียนหนังสือ (เลขา) ได้รับยกย่องว่าเป็นศิลปะพิเศษอย่างหนึ่ง สิกขาบทบางข้อห้ามภิกษุณีเรียนศิลปะทางโลก หนึ่งในศิลปะเหล่านี้คือวิชา เขียนหนังสือ ในบทสนทนาภายในครอบครัวพ่อแม่ปรารภว่า จะให้บุตรเรียนวิชาอะไรดี ถ้าจะให้เรียนเขียนหนังสือ บุตรก็อาจยังชีพอยู่ได้อย่างสบาย แต่ก็อาจเจ็บนิ้วมือ ถ้าภิกษุเขียนหนังสือพรรณนาคุณ ของอัตตวินิบาตกรรม (การฆ่า ตัวตายเอง) ปรับทุกกฏทุกตัวอักษร ถ้ามีผู้อ่านพบข้อความนั้นเข้า เห็นดีเห็นงามด้วย แล้วฆ่าตัวตายตามนั้น ปรับอาบัติ ปาราชิก หลักฐานเหล่านี้แสดงว่า อักษรหรือการเขียนมีมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ที่พระพุทธองค์ไม่นิยมใช้ หัน มาใช้วิธีมุขปาฐะแทน น่าจะทรงเห็นประโยชน์อานิสงส์ บางสิ่งบางอย่างกระมัง หรือว่าระบบการขีดเขียนยังไม่เป็นที่ แพร่หลายเท่าที่ควร ทั้งยังไม่มีอุปกรณ์การขีดการเขียนเพียงพอ ก็ยากที่จะทราบได้ แต่ข้อที่น่าคิดอยู่อย่างคือ วิธีเรียน ด้วยมุขปาฐะนี้ นอกจากจะสร้างสัมพันธภาพอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้เรียนและ ผู้สอนแล้ว ยังเป็นการสร้างสมาธิฝึกจิต ของผู้เรียนไปในตัวด้วย นักปราชญ์ยุคก่อนที่มีความคิดเช่นนี้ก็มีไม่น้อย เปลโต้เคยกล่าวไว้ว่า ''การคิดอักษรขึ้นใช้ แทนการท่องจำ ทำให้มนุษย์ขาดอานุภาพแห่งความทรงจำ คือแทนที่จะจดจำจากอินทรีย์ภายใน ต้องอาศัยสัญลักษณ์ นอกเข้าช่วย'' |
SEE |
โดย: งาน: งานห้องสมุด อ้างอิงแผนงาน : - อ้างอิงโครงการ : - แหล่งที่มา: http://library.riss.ac.th/ |
Vote | |
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อฉัน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
มีประโยชน์ต่อทุกคน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |