[ Home ]  [ Today 's Event ]  [ FAQ ]  [ บันทึกงาน ]
User: Passwd:
ค้นหาข้อมูล:

ข่าวการศึกษา : จี้รัฐบาลทบทวนมหา'ลัยออกนอกระบบ จวกยับมรดกลัทธิทุนนิยมสามานย์

      ชำแหละนโยบายไล่มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ รองอธิการบดี ม.ศิลปากรแฉเป็นผลผลิตของระบบทุนนิยมที่มุ่งเน้นแสวงหากำไรสูงสุด ยันหลุดพ้นจากระบบราชการเมื่อไหร่ “ค่าเทอม” ขึ้นแน่ เผยในแคนาดามหาวิทยาลัยถูกบริษัทยาเทกโอเวอร์จนต้องจัดระบบการศึกษาเพื่อตอบสนองในธุรกิจยารักษาโรคแทน “ปรีชา” ฉะรัฐบาลรีบร้อนเกินไป แนะควรนำกฎหมายมาทบทวนเพื่อให้ประชาคมมหาวิทยาลัยมีส่วนพิจารณาอีกครั้ง ด้านสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งชาติเปิดเวทีสนามหลวงโจมตีลั่นไม่หยุดจนกว่าจะถอนกฎหมาย
     
      จากกรณีที่ นายวิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ประกาศผลักดันนโยบายนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ โดยนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ก่อให้เกิดกระแสการคัดค้านขึ้นในกลุ่มอาจารย์ ตลอดรวมถึงนิสิตนักศึกษาหลายสถาบันด้วยกัน เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.บูรพา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(สจพ.) ฯลฯ นั้น
       
      ทั้งนี้ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นกับการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนคนไทยได้มีอยู่ 2 เรื่องคือ 1.การขึ้นค่าเทอมและ 2.เสรีภาพทางวิชาการของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย
     
      นายปรีชา สุวรรณทัต อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า นโยบายการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้น เป็นกฎหมายที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่รัฐบาลชุดเดิม ซึ่งเมื่อรัฐบาลชุดดังกล่าวพ้นไปจากอำนาจ รัฐบาลชุดปัจจุบันก็น่าจะนำกฎหมายฉบับนี้มาทบทวนอีกครั้ง โดยให้มีทั้งฝ่ายประชาคม นิสิตนักศึกษาประชาชนมีส่วนร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีปัญหาถูกต่อต้านมาตลอด
     
      ทั้งนี้ ส่วนตัวมีความเห็นว่ารัฐบาลรีบร้อนเกินไป อย่างเช่นการนำเอาร่างพระราชบัญญัติของทั้ง 3 มหาวิทยาลัยคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.ทักษิณ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(สจพ.) เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม)พร้อมกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงควรจะค่อยนำเข้าพิจารณาทีละฉบับ
     
      “ความจริงสภานิติบัญญัติมีเรื่องที่จะต้องนำมาพิจารณามากกว่านี้อีก ผมมองว่าเรื่องนี้ดูรีบร้อนจนเกินไปใน ควรเปิดโอกาสให้นักศึกษาและภาคประชาชนมีส่วนร่วมหรือแสดงความคิดเห็นในพ.ร.บ.ฉบับนี้ด้วย แต่ที่เป็นปัญหาคือหลายคนไม่ทราบเรื่องเพราะการออกนอกระบบก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย อีกอย่างหนึ่งคือมหาวิทยาลัยควรมีพ.ร.บ.กลาง แต่ตอนนี้ต่างคนต่างมีคนละฉบับ มันก็วุ่นวาย”นายปรีชากล่าว
     
      **ฉะแนวคิดทุนนิยมสามานย์
      นายเจริญ คัมภีรภาพ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นมหาวิทยาลัยก็คือ จะต้องเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้ ให้การศึกษากับประชาชนในชาติอย่างถึงที่สุด โดยถือเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะให้การศึกษาแก่สังคม เพื่อสนองตอบต่อความต้องการทางปัญญา รวมทั้งสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและเติบโตเป็นกำลังหลักของชาติต่อไป ดังนั้น รัฐจะต้องเคารพว่าการศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรจะได้รับ ไม่ใช่สินค้าหรือบริการที่ประชาชนต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้มา
     
      แต่ปรัชญาของการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ไม่ได้เป็นไปตามหลักการข้างต้น เพราะมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจหรือหาผลกำไรเป็นหลัก โดยได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิทุนนิยมสามานย์ที่ต้องการเปลี่ยนรูปแบบของการให้การศึกษาที่แท้จริงสู่ระบบการบริการและธุรกิจ
     
      ทั้งนี้ เมื่อปรัชญาของการศึกษาเปลี่ยนไป สิ่งที่หลายคนกังวลคือเรื่องการขึ้นค่าเทอมก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งโดยส่วนตัวจากการประสบการณ์การเป็นผู้บริหารการศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ขอยืนยันว่าค่าเทอมจะต้องขึ้นอย่างแน่นอน
     
      นายเจริญกล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นห่วงอีกเรื่องหนึ่งก็คือ อิสรภาพทางวิชาการ เพราะมีปรากฏให้เห็นเป็นตัวอย่างทั้งในและต่างประเทศ เช่นในประเทศกลุ่ม Nafta ที่ยอมให้มหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบ อาทิ ในประเทศแคนาดา ที่ผลจากการประชุม FTA ทำให้บริษัทยายักษ์ใหญ่สามารถเทกโอเวอร์มหาวิทยาลัยของรัฐ ผลก็คือการจัดการเรียนการสอนที่แต่เดิมเป็นไปในเชิงการตอบสนองทางปัญญา การให้การศึกษาของนักเรียน นักศึกษา เพื่อให้นำไปใช้ประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง เป็นการวางแผนการศึกษาเพื่อตอบสนองในธุรกิจยารักษาโรคแทน
     
      ขณะที่ในประเทศไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือที่มหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบไปแล้วก่อนหน้านี้ที่ไม่มีอาจารย์หรือนักวิชาการคนใดออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองในยุคที่สภาวการณ์ทางการเมืองกำลังร้อนระอุในช่วงรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณเนื่องจากกลัวอิทธิพลทางการเมืองจะกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ที่ทำอยู่
     
      “การเปลี่ยนมหาวิทยาลัยมาเป็นนอกระบบ นอกจากจะเปลี่ยนแนวทางบริหารมาเป็นเชิงธุรกิจแล้ว ครูอาจารย์ที่เคยเป็นข้าราชการนั้น ก็ต้องแปรสภาพมาเป็นลูกจ้าง เป็นเพียงพนักงานเท่านั้น แล้วก็ต่อสัญญาปีต่อปีไปเหมือนพนักงานบริษัททั่วไป เชื่อไหมครับ อย่างมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปดูเอาเถอะ เขาจะมีกฎเลยนะครับ หากอาจารย์จำเป็นต้องออกจากมหาวิทยาลัยและเดินทางไปต่างจังหวัด จำเป็นจะต้องได้รับการอนุญาตจากผู้บริหารของสถาบันเป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อน มิฉะนั้นอาจถูกเลิกสัญญาจ้าง หรือที่มหาวิทยาลัยหนึ่งที่มีนิสิตออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน ก็ปรากฏมีผู้บริหารไปขู่จะพักการเรียนเด็กหนึ่งเทอม นี่ขนาดยังไม่ออกนอกระบบนะ ยังเผด็จการกันขนาดนี้''
     
      นอกจากนั้น นายเจริญได้แสดงความกังวลถึงปัญหาที่จะตามมาจากการออกนอกระบบของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่สังกัดรัฐบาลด้วยว่า สิ่งที่จะต้องเกิดตามมาอย่างแน่นอนภายหลังการออกนอกระบบก็คือค่าเทอมที่จะสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นภาระของพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยเฉพาะครอบครัวฐานะปานกลางและค่อนต่ำ จะทำให้เด็กขายบริการทางเพศมากขึ้นเพื่อนำเงินมาจ่ายค่าเทอม และปัญหาการสมองไหลก็จะตามมาด้วย เพราะหากเทียบราคาการศึกษาเมื่อออกนอกระบบแล้ว จะแพงสูสีกับค่าเทอมในต่างประเทศ ซึ่งสำหรับผู้ที่มีฐานะที่พอจะไปต่อต่างประเทศได้ จะเลือกไปต่อต่างประเทศมากกว่า เพราะด้วยราคาที่ใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันที่คุณภาพการศึกษา อาจก่อปัญหาผู้ที่มีความรู้ความสามารถเดินทางออกนอกประเทศมากขึ้นได้
     
      ขณะที่นายมานิจ สุขสมจิตร กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่าหากมองในแง่ของการบริหารจัดการแล้วการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งเพราะหากมหาวิทยาลัยยังคงอยู่ในระบบราชการต่อไปก็ลำบากในส่วนของการบริหาร แต่ปัญหาก็คือถ้าปล่อยให้อยู่นอกระบบแล้วรัฐบาลจะต้องเข้าไปดูแลอย่าให้เกิดผลกระทบแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะนักศึกษาในเรื่องของการขึ้นค่าเล่าเรียนที่หลายคนกำลังกังวลกันอยู่
     
      “การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้นมีการเตรียมงานกันมานานมากแล้วดังนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องดำเนินการเสียที แต่อย่างไรก็ตามต่อไปต้องเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะเข้าไปควบคุมดูแลเรื่องงบประมาณอย่าให้กลายเป็นเรื่องจับเนื้อกินเองกลายเป็นผลประโยชน์ของใคร”นายมานิจกล่าว
     
      **ปลุกม็อบสนามหลวง
      สำหรับการเคลื่อนไหวคัดการการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้น วานนี้(10 ธ.ค.) ที่ท้องสนามหลวง สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งชาติ(สนช.)เปิดเวทีปราศรัยเพื่อคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ โดยนายวิศวะ ศรีโอษฐ์ รักษาการประธานสนช.กล่าวว่าได้มีการเปิดการปราศรัยตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.แต่ยังไม่มีการจัดเวทีอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งการเปิดปราศรัยครั้งนี้เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบแก่นักศึกษาและประชาชนทั่วไปได้รับทราบ รวมทั้งมีการประสานงานกับแกนนำนักศึกษาทั่วประเทศและเครือข่ายอื่นๆ อาทิ เครือข่ายพ่อแม่และเด็ก เพื่อหายุทธศาสตร์ร่วมในการเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างเต็มที่ต่อไป
       
      ทั้งนี้ สนช.จะขอตั้งตนเป็นภาคีร่วมเพื่อทำหน้าที่ประสานงานให้แก่แกนนำหรือนักศึกษาที่ไม่เห็นด้วยกับการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบด้วย อย่างไรก็ตาม สนช.มีจุดยืนที่ชัดคือจะไม่มีการยอมเจรจาใดๆทั้งสิ้นมีวิธีเดียวคือรัฐบาลต้องถอนพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวออกไปและการเปิดเวทีปราศรัยครั้งนี้จะดำเนินการต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีกำหนด





ดูรายละเอียดเพิ่มเติม


โดย:
งาน: งานบุคลากร
อ้างอิงแผนงาน : -
อ้างอิงโครงการ : -
แหล่งที่มา: ผู้จัดการออนไลน์ 11 ธันวาคม 2549 09:35 น.

ขอบคุณสำหรับการโวตท์
Vote
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง
เป็นประโยชน์ต่อฉัน
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน
มีประโยชน์ต่อทุกคน
บุคลากร 0 บุคคลภายนอก 0

อ่าน 0 ครั้ง