[ Home ]  [ Today 's Event ]  [ FAQ ]  [ บันทึกงาน ]
User: Passwd:
ค้นหาข้อมูล:

ข่าวการศึกษา : สพฐ.รับลูกใช้โอเน็ตสอบเลื่อนชั้น-จบม.6

แต่ห่วงคุณภาพข้อสอบ-หวั่นออกเกินหลักสูตร เตรียมเสนอกพฐ.ชี้ขาด-หากไม่มีปัญหาเริ่มปี''50

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่าที่ประชุมเห็นด้วยกับการนำรูปแบบการนำผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต มาใช้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนเพื่อเลื่อนระดับผ่านช่วงชั้น และจบการศึกษาในชั้น ม.6 ตามข้อเสนอของ ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เพราะจะทำให้นักเรียนตั้งใจเรียนในชั้นเรียน และตั้งใจสอบเพื่อให้ได้คะแนนโอเน็ตมากขึ้น ทั้งยังทำให้ สพฐ.ได้ตรวจสอบคุณภาพการเรียนการสอนด้วย แต่ที่ประชุมแสดงความห่วงใยว่าในส่วนของเด็กด้อยโอกาส เด็กพิการ หรือเด็กเรียนอ่อน อาจอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ทำให้ลดความหลากหลายของหลักสูตร เพราะทุกโรงเรียนมุ่งที่จะมีหลักสูตรคล้ายคลึงกันเพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนสอบผ่านได้ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังไม่มั่นใจในคุณภาพของข้อสอบว่าออกเกินหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือไม่ รวมถึงไม่มั่นใจว่าในปี 2550 จะเกิดปัญหาในการสอบโอเน็ตหรือไม่

คุณหญิงกษมากล่าวต่อว่า ที่ประชุมเห็นควรจัดทำข้อเสนอต่อที่ประชุม กพฐ.เพื่อพิจารณาประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1.การดำเนินการตามข้อเสนอของ สทศ.ต้องประกาศให้สาธารณชนทราบ และเข้าใจล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 ปี ระหว่างนี้ควรให้ สพฐ.และ สทศ.ดูในเรื่องข้อสอบโอเน็ตว่าสอดคล้องกับหลักสูตรขั้นพื้นฐานหรือไม่ 2.ในปีแรกของการดำเนินงาน ควรทดสอบใน 2 วิชาก่อน คือภาษาไทย และคณิตศาสตร์ จากนั้นค่อยเพิ่มในรายวิชาอื่น โดยการจบ ม.6 ควรให้ค่าน้ำหนักโอเน็ตร้อยละ 30 และการประเมินของโรงเรียน ร้อยละ 70 ตามที่ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอแนะ อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบที่ได้ควรนำมาตรวจสอบโรงเรียนด้วยว่าผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์ตามข้อกำหนด เพราะการสอบได้หรือไม่ได้ของเด็กขึ้นอยู่กับความพร้อมของโรงเรียนด้วย ทั้งนี้ หากพบว่าขาดในเรื่องใด สพฐ.จะช่วยเสริมเพื่อไม่ให้เด็กเสียเปรียบ และปีถัดไปจึงค่อยนำมาใช้ประเมินเพื่อตัดสินว่าจบหรือไม่จบ 3.ควรตรวจสอบในแง่กฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าต้องปรับกฎหมายใดบ้าง เนื่องจาก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 26 กำหนดให้สถานศึกษาเป็นผู้ประเมินผลการเรียนของนักเรียน เพราะแต่ละโรงเรียนอาจมีหลักสูตรแตกต่างกัน และ 4.สพฐ.จะต้องปรับระบบภายใน สพฐ.เอง โดยเฉพาะการเสริมความเข้มแข็งของหลักสูตร และการประเมินผล

''หาก สพฐ.มั่นใจว่าข้อสอบไม่ออกเกินหลักสูตร ก็อาจเริ่มได้ในปีการศึกษา 2550 แต่ถ้าดูแล้วไม่มั่นใจ ก็ขอดูไปจนกว่าจะมั่นใจ จึงบอกได้ว่าจะเริ่มในปีใด ทั้งนี้ หลัง กพฐ.มีมติอย่างไร ก็จะหารือกับ สทศ.และเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ต่อไป'' คุณหญิงกษมากล่าว

คุณหญิงกษมากล่าวอีกว่า ที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.จะให้ใช้ค่าน้ำหนักการประเมินคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนประกอบการตัดสินเข้ามหาวิทยาลัยนั้น เรื่องคุณธรรมจริยธรรมถูกกำหนดอยู่ในลักษณะพึงประสงค์ ซึ่งเป็น 1 ในองค์ประกอบที่จะตัดสินว่าจะจบหรือไม่อยู่แล้ว ถือว่ารุนแรงกว่าการใช้เป็นค่าน้ำหนัก เพราะถ้าไม่ผ่านองค์ประกอบนี้ก็ไม่จบ และไม่ต้องพูดถึงการเข้ามหาวิทยาลัย

''วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550 สพฐ.กำหนดให้ทดสอบเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กเป็นการภายใน โดยมอบให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) สุ่มทดสอบนักเรียน ป.6 และ ม.3 ทุกโรงเรียน โดย ป.6 สอบภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ส่วน ม.3 สอบภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา และภาษาอังกฤษ โดยใช้ข้อสอบ 2 ชุด ส่วนการทดสอบนักเรียน ป.2, ป.5 และ ม.2 ซึ่งจะสอบทุกคนในทุกโรงเรียนนั้น ยังไม่ได้กำหนดวันสอบ โดยในเร็วๆ นี้ จะประชุมกับผู้อำนวยการ สพท.เพื่อกำหนดแนวทางร่วมกันต่อไป'' คุณหญิงกษมากล่าว





ดูรายละเอียดเพิ่มเติม


โดย:
งาน: งานบุคลากร
อ้างอิงแผนงาน : -
อ้างอิงโครงการ : -
แหล่งที่มา: มติชนรายวัน ฉบับที่ 10509 [หน้าที่ 27 ] ประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2549

ขอบคุณสำหรับการโวตท์
Vote
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง
เป็นประโยชน์ต่อฉัน
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน
มีประโยชน์ต่อทุกคน
บุคลากร 0 บุคคลภายนอก 0

อ่าน 0 ครั้ง