“กลุ้มใจจังลูกสาว 3 ขวบชอบเล่นรถแข่ง ชอบปีนป่ายอย่างกับผู้ชาย” อาการแบบนี้อาจเกิดขึ้นกับลูกสาวของคุณแม่หลายท่านที่ดูท่าซนเป็นทะโมน จนบางครั้งคุณแม่ก็เผลอคิดไปว่าลูกเราจะเป็นทอมหรือเปล่า เช่นเดียวกับคุณแม่อีกฝั่งนึง หลายครั้งที่แอบเห็นลูกชายแอบหยิบบลัชอ่อนของคุณแม่มาปัดแก้มใสๆ หรือชื่นชอบนักหนากับการเล่นขายของกับเพื่อนหญิง
นั่นอาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของลูกน้อยที่คุณแม่สังเกตได้ค่ะ ว่าเค้าเริ่มมีอาการเบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย บางครอบครัวอาจเกิดความสงสัยว่าเราเลี้ยงดูแลให้ความรักความอบอุ่นอย่างดี แต่เหตุใดลูกน้อยจึงมีพฤติกรรมเหล่านี้ได้
จริงแล้วมีหลายสาเหตุหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เค้ามีพฤติกรรมทางเพศ แต่คุณแม่สามารถที่จะแก้ไข และป้องกันให้ลูกน้อยได้นะคะ เพียงคุณแม่ใส่ใจสักนิดและให้เวลากับเค้า ปัญหาเหล่านี้มีทางออกค่ะ
โดยปกติแล้วเด็กจะสามารถแยกแยะเพศตัวเองได้เมื่ออายุประมาณ 3 ขวบ แต่จะแยกแยะได้เพียงลักษณะภายนอกที่มองเห็นเท่านั้นค่ะ เช่น ผู้ชายต้องผมสั้น ใส่กางเกง เด็กจะค่อยๆ เรียนรู้และทำความเข้าใจกับลักษณะแตกต่างทางพฤติกรรมหรือบทบาททางเพศเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ
หลายสาเหตุ พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ
ฮอร์โมนเพศ ซึ่งปกติคนเราจะมีฮอร์โมนเพศ 2 อย่างที่เป็นตัวกำหนดเพศ รวมถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาว และควบคุมการทำงาน อย่างเพศหญิงจะมีฮอร์โมน เอสโตรเจน (estrogen) เพศชายจะมีฮอร์โมนเพศ เทสโตสเตอโรน และถ้าฮอร์โมนแพศผิดปกติโอกาสที่ลูกน้อยจะเบี่ยงเบนทางเพศจะมีค่อนข้างสูง
การเลี้ยงลูกแบบผิดเพศ มีพ่อแม่หลายท่านค่ะ ที่คาดหวังว่าอยากได้ลูกชายพอลูกคลอดออกมากลับเป็นลูกสาว ทำให้คุณพ่อคุณแม่เสียใจ จำใจเลี้ยงต่อไปแต่วิธีการเลี้ยง กลับเป็นแบบลูกชาย ทำให้ลูกติดพฤติกรรมแบบผู้ชายไปค่ะ
สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู มีหลายครอบครัวค่ะ ที่มีพี่สาวหลายคน แต่น้องคนสุดท้องกลับเป็นผู้ชาย บางครั้งความใกล้ชิดระหว่างพี่สาวกับน้องชาย ทำให้เค้าซึมซับพฤติกรรมของพี่สาวทั้งหลายมาด้วยโดยไม่รู้ตัว และการที่บ้านนั้นมีลูกสาวเยอะกิจกรรมส่วนใหญ่จึงเน้นหนักไปที่ลูกสาวโดยที่คุณพ่อคุณแม่เองยังไม่ทันสังเกต ไม่รู้ตัว อาจจะมารู้ตัวอีกทีเมื่อลูกชายเปลี่ยนแปลงได้รับความเป็นหญิงจนไม่เหลือความรู้สึกแบบผู้ชายเลยก็มี ทางที่ดีคุณแม่หรือคุณพ่อควรใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยหมั่นสังเกต และพูดคุยกับลูกให้เค้าได้รับความอบอุ่นอย่างเต็มที่ค่ะ
ความใกล้ชิด กับแม่มากเกินไป บางครอบครัว คุณแม่อยู่บ้านทำหน้าที่เลี้ยงลูกชายอย่างเดียว ส่วนคุณพ่อก็มีหน้าที่ทำงานนอกบ้าน ปล่อยให้คุณแม่เลี้ยงดูลูกเพียงลำพัง การที่คุณแม่ใกล้ชิดกับลูกชายมากๆ โอกาสที่ลูกจะซึมซับความเป็นหญิงก็มีมากเช่นกัน เพราะการเลี้ยงดู และกิจกรรมที่คุณแม่กระทำส่วนใหญ่จะเป็นแบบผู้หญิงค่ะ
ความรู้สึกฝังใจ การขาดพ่อหรือแม่ มีเด็กผู้หญิงหลายคนที่ขาดพ่อตั้งแต่ยังเล็ก คุณแม่ก็ปลูกฝังความคิดเรื่องพ่อและเพศชายในทางที่ไม่ค่อยดีนัก ความที่เป็นเด็กไม่สามารถแยกแยะได้ เค้าจะรู้สึกฝังใจและเกลียดเพศตรงข้ามโดยไม่รู้ตัวโอกาสทีเค้าจะเบี่ยงเบนชอบเพศเดียวกันจึงมีค่อนข้างสูงค่ะ
เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้ผิดเพศ
1.เริ่มต้นที่ตัวคุณพ่อคุณแม่เอง เป็นต้นแบบที่ดีให้ลูกเห็นค่ะ ให้ความใกล้ชิดกับลูกคุณพ่อกับลูกชาย ส่วนคุณแม่ก็กับลูกสาว
2. ทำกิจกรรมร่วมกันค่ะ คุณพ่อพยายามทำกิจแบบเพศชาย ล้างรถ ซ่อมแซมบ้าน เพศหญิงคุณแม่ก็พยายามทำกิจกรรมที่เน้นความเป็นหญิงทั้งนี้คุณแม่คุณพ่อต้องพยายามทำเป็นตัวอย่างและเอาใจใส่ลูกให้มากค่ะ
3.ปลูกฝังความคิดที่ดีตั้งแต่ยังเล็ก ถึงแม้ว่าบางครอบครัวจะขาดแม่ หรือขาดพ่อ ควรจะอธิบายให้เค้าเข้าใจในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่สร้างความรู้สึกให้เด็กเกลียดเพศใดเพศหนึ่ง
4.เปิดโอกาสให้เค้าได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ ให้เค้าทำในสิ่งที่เค้าชอบโดยผู้ปกครองอาจจะสังเกตดูอยู่ห่างๆ แต่เมื่อเค้าเริ่มมีพฤติกรรมที่ผิดเพศ ก็ให้ผู้ปกครองเบี่ยงเบนความสนใจของเค้ามาสู่สิ่งที่ถูกต้อง
5. เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมควรอธิบายให้เค้าใจ อย่าใช้การข่มขู่กับลูก เพราะเด็กจะหวาดกลัว และจะเกิดปัญหาในภายหลังได้ค่ะ
6. ให้เค้าทำในสิ่งที่ถูกต้องค่ะ เช่น เด็กผู้ชายอย่าให้นุ่งกระโปรง หรือเล่นของเล่นแบบผู้หญิง ส่วนเด็กผู้หญิงก็ให้เค้าซึมซับความเป็นหญิง ทำงานบ้านช่วยแม่
7.สร้างทักษะที่หลากหลายให้ลูกตั้งแต่ยังเล็กค่ะ ให้เค้าเล่นดนตรี เล่นกีฬา และทำกิจกรรมเพื่อฝึกให้เค้าช่วยเหลือตัวเองค่ะ ไม่เน้นการเรียนเพียงอย่างเดียวค่ะ
สิ่งสำคัญที่สุด คือการให้ความรักความอบอุ่นกับลูก ดูแลและอบรมเลี้ยงดูเค้าอย่างถูกวิธีค่ะ ให้เวลากับครอบครัวให้มากที่สุดจะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลังคะ
|