|
|
( อุบัติ ) เหตุ.......เกิดจาก '' การบ้าน '' คุณเชื่อหรือไม่ว่า การบ้าน เป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามย่อย ๆ กลางบ้านได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหล่ะคะว่า สามารถเกิดขึ้นได้จริง บางบ้านอาจเกิดขึ้นระหว่างแม่กับลูก หรือพ่อกับลูก หรือบางบ้านที่สามัคคีกันหน่อย ก็อาจเป็นสงคราม 3 ฝ่าย คือ พ่อ แม่ ลูก ขึ้นได้ อันเนื่องมาจากสาเหตุ พ่อแม่อยากช่วยลูกทำการบ้าน แต่ลูกทำไม่ได้ดังใจพ่อแม่หวัง เกิดมีปากเสียงกันขึ้น บางรายอาจมีการลงไม้ลงมือกัน เผื่อว่าความจำจะดีขึ้นมาบ้าง อย่างนี้ไม่เรียกว่า สอนลูกทำการบ้านนะค่ะ เขาเรียกว่า กดดัน และยิ่งจะทำให้เด็กเครียดและต่อต้านการทำการบ้าน หรือในบางรายอาจจะรู้สึกเกลียดการทำการบ้านไปเลยก็ได้ คุณพ่อคุณแม่ลองหาวิธีช่วยลูกทำการบ้าน ในรูปแบบใหม่ ๆ ดูนะคะ อย่าพึ่งปล่อยปละละเลยให้เขาทำการบ้านคนเดียว เพราะการศึกษาของ American Academy of Pediatrics ยืนยันว่า การที่พ่อแม่เอาใจใส่ สนใจลูก ช่วยให้ลูกทำการบ้าน หรือเรียนเพิ่มเติมเป็นประจำ เด็กจะประสบความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน และมีผลการเรียนดีขึ้น เพราะการบ้านจะฝึกให้เด็กรู้จักคิดรู้จักทำ และเป็นการย้ำความเข้าใจในสิ่งที่ครูแนะให้รู้จักแนวคิดหลักการทฤษฎีความจริง สมมติฐาน ความดี ความถูกต้อง การบ้านจึงเป็นเสมือนแบบทดสอบว่า เด็กเข้าใจบทเรียนหรือเรียนรู้ได้ลึกซึ้งเพียงไร สำหรับวิธีการที่คุณพ่อคุณแม่จะช่วยลูกทำการบ้านง่ายนิดเดียว เริ่มจาก 1. ลองสำรวจบริเวณบ้านดูซิว่า พอมีมุมที่สงบพอสำหรับที่จะจัดไว้เป็นที่เฉพาะให้ลูกนั่งทำการบ้านได้หรือไม่ แล้วจัดพื้นที่นั้นไว้เป็นที่ที่ลูกนั่งทำการบ้าน มีโต๊ะเขียนหนังสือหรือบริเวณที่อ่านหนังสือต้องมีไฟสว่างพอ จัดหาเครื่องเขียน กระดาษ ดินสอ ไม้บรรทัด ยางลบ กาว กรรไกร ให้ลูกหยิบใช้ได้สะดวก 2. ลองสร้างความสัมพันธ์ทำความรู้จักกับคุณครูของลูก ไปร่วมงานของโรงเรียนบ้าง เข้าประชุมสมาคมครูผู้ปกครองบ้าง เมื่อพบคุณครูของลูกควรพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการเรียนและการแจกงานมาฝึกปรือที่บ้าน และปรึกษากับครูว่าพ่อแม่ควรมีบทบาทหรือมีส่วนช่วยลูกตรงไหนอย่างไร 3. จัดเวลาให้ลูกทำการบ้านตอนเย็น ก่อนหรือหลังอาหารเย็นก็ได้ ถ้ามีการบ้านมากควรลงมือทำหลังจากเลิกเรียนหรือฝึกให้ลูกทำบางส่วนที่โรงเรียนขณะรอพ่อแม่ไปรับ และทำต่อจนเสร็จแต่หัวค่ำจะได้เข้านอน เด็กควรได้นอนหลับพักผ่อนแต่หัวค่ำ 4. ในช่วงปิดเทอม ก็ต้องจัดเวลาอ่านเขียน ( study time ) จะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็น หลังรับประทานอาหารว่าง บางคนชอบให้ใช้เวลาตอนค่ำก็อนุโลมได้ 5. พยายามอย่าให้มีสิ่งรบกวนที่จะมาเบนความสนใจหรือถ้ามีก็ให้มีน้อยที่สุด เช่น ปิดโทรทัศน์ เครื่องเสียงต่าง ๆ โทรศัพท์ นอกจากบางครั้งอาจจะใช้โทรศัพท์ถามการบ้านเพื่อนได้บ้าง 6. ดูแลให้ลูกทำการบ้านด้วยตนเอง เด็กจะได้เกิดการเรียนรู้ หากเขาไม่ได้คิดเอง ทำเอง ลองถูกลองผิดของเขาเอง พ่อแม่อาจแนะนำ หรือช่วยชี้แนวทาง ลูกจะต้องเรียนด้วยการทำ ( learning by doing ) 7. สอบถามลูกถึงงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำ คำถามต่าง ๆ ที่ครูให้มาค้นหาคำตอบ ข้อสอบต่าง ๆ แล้วตรวจสอบว่าลูกทำครบไหม เตรียมพร้อมที่จะตอบคำถามต่าง ๆ และปลอบประโลมเมื่อลูกคับข้องใจ คำถามบางคำถามพ่อแม่ไม่ทราบก็จะต้องช่วยกันค้นหาจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งหนังสือ ตำรา หรือแม้แต่ทางอินเทอร์เน็ต 8. พ่อแม่ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง ถ้าพ่อแม่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ เคยอ่านให้ฟังเสมอ พ่อแม่ติดตามข่าวหนังสือพิมพ์ เขียนหนังสือ เขียนจดหมาย อ่านหนังสือเวลาว่าง ลูก ๆ ก็จะทำตามพ่อแม่ดีกว่าพร่ำสอนโดยไม่มีตัวอย่าง 9. ชมเชย ประกาศเกียรติคุณเมื่อลูกมีผลการเรียนดี ให้เป็นที่รู้ในครอบครัว และหมู่ญาติ หากลูกมีปัญหาในการทำการบ้านอย่างต่อเนื่อง เช่น ทำไม่ครบ ไม่ส่งการบ้าน พ่อแม่ควรพูดคุยกับคุณครู ถ้าทั้งสองฝ่ายลงความเห็นว่า พ่อแม่ควรพูดคุยกับคุณครู ถ้าทั้งสองฝ่ายลงความเห็นว่า เป็นปัญหาควรพาลูกไปตรวจสอบกับผู้เชี่ยวชาญ ว่าเด็กมีปัญหาเรื่องการเรียนหรือสมาธิสั้นหรือไม่ถ้ามีจะได้จัดการช่วยเหลือต่อไป การดูแล เอาใจใส่เด็กอย่างรอบด้าน จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้กับเขา ดีกว่าต้องมานั่งกดดันกันทุกเย็น เพื่อให้เขาทำการบ้าน เสียอารมณ์ทั้งคนสอนและคนถูกสอน ลองมาช่วยเตรียมบรรยากาศ และฝึกให้เป็นนิสัย ให้เด็กเปิดรับเอาการบ้านเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของเด็กให้ได้ แล้วบรรายกาศการทำการบ้านของเด็ก ๆ ก็จะน่ารื่นรมย์กว่าเดิมเยอะเลย |
รายละเอียด |
โดย:
งาน: งานบริหารฝ่ายวิชาการ อ้างอิงแผนงาน : - อ้างอิงโครงการ : - แหล่งที่มา: วารสารทางการศึกษาสำหรับครู |
Vote | |
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อฉัน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
มีประโยชน์ต่อทุกคน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |