[ Home ]  [ Today 's Event ]  [ FAQ ]  [ บันทึกงาน ]
User: Passwd:
ค้นหาข้อมูล:

วันฉลองปาสกา

คนไทยส่วนมากจะรู้จักวันฉลองคริสต์มาส มากกว่า วันฉลองปัสกา (วันอีสเตอร์) ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว วันฉลองปัสกา มีความหมายและความสำคัญ มากกว่าวันคริสต์มาสเสียอีก

หลังจาก 40 วันแห่งการพลีกรรมใช้โทษบาป ใน เทศกาลมหาพรต พระศาสนจักรฉลองความชัยชนะ อันยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่า เทศกาลปัสกา คือ การเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า หลังจากถูกตรึงและตายบนไม้กางเขน

ถ้าพระเยซูเจ้าไม่กลับเป็นขึ้นมาจากความตาย การไถ่บาปของพระองค์ นั่นคือ ความทุกข์ทรมาน การแบกกางเขน และการตายบนไม้กางเขน ก็จะไร้ความหมาย

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ตามหนังสืออพยพ ปัสกาเป็นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อของชาวยิว เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเป็นเจ้า ทรงช่วยเหลือบรรพบุรุษของเขา ออกมาจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์ ในวันนั้นเขาจะนำแกะมาฆ่า แล้วเอาเลือดมาทาที่วงกบประตู เพื่อว่าทูตสวรรค์ที่ผ่านมา เพื่อประหารลูกหัวปีของชาวอียิปต์ จะผ่านบ้านที่ทาวงกบด้วยเลือดของลูกแกะไป ทั้งนี้เพื่อให้ชาวอียิปต์ยอมให้อิสรภาพแก่ชาวยิว

สำหรับคริสตชน ''ปัสกา'' มีความหมายว่า เป็นการผ่านความทุกข์ สู่ความยินดีโดยอาศัยการทนทุกข์ทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพของพระเยซูคริสต์ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือ การฉลองการได้รับชีวิตที่เป็นอิสระจากบาป และความตายนั่นเอง

บ่อยครั้งเราชอบมองไปที่อนาคตตรงๆ โดยไม่ผ่านการเปลี่ยนแปลงอะไร ดังนี้จึงมีคนมากมายมองข้ามไปที่อนาคตแล้วก็คิดว่า สวรรค์ ชีวิตนิรันดร์  คือความสุขบนโลกแบบมนุษย์ที่ขยายตัวขึ้นมากๆ  โดยไม่มีความเปลี่ยนแปลง/เปลี่ยนแปร  แต่ปัจจุบัน ความสุขของคนทั่วๆ  ไปคืออะไร ก็คือ  การอยู่ดี กินดี  รักสามี รักภรรยา  มีสุขภาพดี  มีเงินมาก มีความรู้มาก…แล้วก็คิดว่าอนาคตความสุขจริงในสวรรค์ก็คือ การขยายตัวของสิ่งต่างๆ เหล่านั้น  ผิดถนัด เพราะจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปรในสิ่งเหล่านี้

ตัวอย่างที่  2 ผีเสื้อไม่ใช่ตัวหนอนผีเสื้อตัวใหญ่ๆ  เพื่อที่จะกลายมาเป็นผีเสื้อ ตัวหนอนผีเสื้อนี้ต้องเปลี่ยนแปร  ต้องลอกคราบออกจากรูปแบบตัวหนอนผีเสื้อ แต่ถ้าตัวหนอนผีเสื้อมีสติปัญญา  และถ้าเราถามมันว่า  ''อยากให้ทำอะไรเพื่อจะได้ความสุข''  มันคงจะตอบว่า ฉันอยากเป็นตัวหนอนผีเสื้อ  ที่ตัวโตที่สุดเพื่อจะได้ปกครองบรรดาตัวหนอนผีเสื้ออื่นๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น  ตัวหนอนผีเสื้อก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นผีเสื้อสักทีในชีวิตของมัน  และมันก็จะไม่เป็นประโยชน์แก่โลกเราเลย

ตัวอย่างที่  3 ก็คือตัวอย่างที่น่าสนใจที่สุด  เพราะองค์พระเยซูเป็นผู้เลือก  เราอ่านได้ในบทพระวรสารนักบุญยอห์น 12:24  เรื่องเมล็ดข้าวสาลี เพื่อจะได้ออกรวง  เมล็ดข้าวสาลีต้องเปื่อยยุ่ยในดิน  เปลี่ยนแปรสภาพไป  ถ้าเราจะเขียนเป็นเรื่องราวง่ายๆ เราอาจเขียนได้ดังนี้

''เมล็ดข้าวสาลีมีความสุขสบายในยุ้งฉาง ไม่มีฝนในยุ้งฉาง ไม่มีความชื้นแฉะ และเพื่อนเมล็ดข้าวก็เข้ากันดี  ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ทุกเมล็ดมีความสุขมากๆ''

ถ้าเราเปรียบเทียบกับความคิดเกี่ยวกับความสุขของเรา  คือสุขภาพ ทรัพย์สมบัติ…….เมล็ดข้าวนี้พบความสุขจริงๆ  แต่ถ้าเราสังเกตดีๆ  มันเป็นเพียงความสุขเล็กๆ น้อยๆ  ของเมล็ดข้าวที่อยู่ในยุ้งฉางเท่านั้น  แน่นอนเราไม่ควรดูถูกความสุขประสามนุษย์นี้ เรามีสิทธิและหน้าที่ในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง  มีความสบายฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม  ต้องยอมรับว่าเป็นเพียงความสุขเล็กๆ  น้อย  เท่านั้นที่เราอาจเขียนเรื่องต่อไปได้อีกว่า

เราอาจจะเห็นเมล็ดข้าวนี้มีความศรัทธามากและโมทนาคุณพระเจ้าว่า ''ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอมทนาคุณพระองค์สำหรับพระพรเหล่านี้ ฝนไม่ตก  ไม่ชื้นแฉะ  ลูกอยู่สบายดี  ไม่ทุกข์ร้อน  ดีแล้วพระเจ้าข้า  ลูกขอบพระคุณพระองค์''  ในการสวดบทภาวนาแบบนี้ เมล็ดข้าวสาลีพูดกับพระเป็นเจ้าที่ไม่มีจริง เมล็ดข้าวสาลีพูดกับรูปเคารพบูชา พระเจ้าผู้ที่เป็นบิดาและผู้ประกันความสุขเล็กๆ  น้อย  ในยุ้งฉางหรือพระเจ้าผู้เป็นบิดาและผู้ประกันสุขภาพ ความสะดวกสบายและทรัพย์สินของมนุษย์เราจะยอมคุกเข่าต่อหน้ารูปเคารพบูชานี้เชียวหรือ?  พระเป็นเจ้าที่มีอยู่จริงคือ พระเป็นเจ้าที่จะเปลี่ยนแปลงเมล็ดข้าวนี้ให้ถูกเป้าประสงค์เป็นรวงข้าว

วันหนึ่งเขาก็ขนเมล็ดข้าวเหล่านั้นใส่ในรถแล้วก็ออกไปข้างนอกในทุ่งกว้างขวางโอ้โฮ มันดูงดงามกว่าในยุ้งฉาง  ท้องฟ้าสีสดใส เสียงนกเสียงกา มีดอกไม้สวยสด  แต่เมล็ดข้าวนั้นก็ยังเป็นเมล็ดข้างอยู่  และก็ได้สรรเสริญพระเป็นเจ้ายิ่งกว่าเก่าอีกว่า

''โอชีวิตนี้ช่างสวยสดงดงามกว่าที่คิดไว้ตั้งเยอะแยะ  ยอดเยี่ยมจริงๆ  ขอบคุณพระเจ้าข้า'' เมล็ดนั้นก็ยังคงพูดกับพระเป็นเจ้าที่ไม่มีอยู่จริงเหมือนเดิม  เราอาจจะเถียงว่า  เรามีสิทธิ์ที่จะสรรเสริญพระเป็นเจ้าสำหรับชีวิตและความสุขในโลกนี้  ถูกต้องทีเดียว  แต่เรามีสิทธิ์กระทำต่อพระเป็นเจ้าที่แท้จริง และพระเป็นเจ้าผู้ที่แท้จริงก็คือผู้ทีกำลังถูกกล่าวถึงต่อไปนี่เอง

''เมื่อมาถึงพื้นที่อันได้รับการพรวนดินใหม่ๆ เขาก็หว่านเมล็ดข้าวลงบนดินแล้วก็ฝังลงในดิน ในเวลานั้น เมล็ดข้าวไม่เข้าใจอะไรเลย  งงไปหมด เหมือนหลายคนที่พูดรอบตัวเราท่านว่า ''ถ้าพระเจ้ามีจริง  คงไม่เกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น''  และเมล็ดข้าวของเราก็เปื่อยยุ่ยในที่สุด'' เหมือนเราท่านที่คิดในเวลาเช่นนั้นว่า ชีวิตนี้ไร้สาระ ''หลายอาทิตย์ต่อมา  ก็ถึงฤดูเก็บเกี่ยวเมล็ดข้าวกลายเป็นรวงข้าวสวยงาม  และเพื่อสิ่งนี้เองที่เมล็ดข้าวมีชีวิต''

การเปลี่ยนแปลงต้องผ่านการตายต่ออะไรสักอย่างเสมอ  เจริญเติบโตคือถูกเปลี่ยนแปลง ถ้ามันหมายถึงการละม้ายคล้ายกับพระเจ้า จำเป็นที่การเปลี่ยนแปลง/เปลี่ยนแปรนี้เป็นไปอย่างถอนรากถอนโคนอย่างเด็ดขาด  การเปลี่ยนแปลง/เปลี่ยนแปรบางส่วนก็ได้รับผลเป็นบางส่วน และการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนนี้  ก็คือความตายนั่นเอง





http://www.catholic.or.th/spiritual/article/article06/arti071.html


โดย:
งาน: กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
อ้างอิงแผนงาน : -
อ้างอิงโครงการ : -
แหล่งที่มา: อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ

ขอบคุณสำหรับการโวตท์
Vote
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง
เป็นประโยชน์ต่อฉัน
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน
มีประโยชน์ต่อทุกคน
บุคลากร 0 บุคคลภายนอก 0

อ่าน 0 ครั้ง