|
|
ยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองรุนแรงแบบนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการประหยัดเป็นทางที่ดีที่สุด แต่เมื่อความต้องการเข้ามาครอบงำความรู้สึกนึกคิดทางด้านการเงินแล้วนั้น เห็นทีต้องบริหารกระบวนท่าต่อรองควบคู่ไปกับการบริหารเงินแล้วนะคะ
เคล็ดลับต่อไปนี้ยึดหลักการเดียวคือ … ควรนำเพื่อนไปซื้อของด้วยสัก 2 – 3 คน เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจและใช้วาทะศิลป์ช่วยเหลือ เก็บบุคลิกภาพลังเลเอาไว้ที่บ้านเพราะนั่นเป็นจุดอ่อนตัวร้าย และที่สำคัญที่สุดก็คือ การให้ความสำคัญด้าน ”เวลา” ที่ใช้เลือกซื้อของ ถ้าเวลายิ่งมากจะยิ่งได้ของดีราคาถูก พูดให้มากยืนถ่วงเวลาเข้าไว้เป็นดี คราวนี้ไปดูเทคนิคการต่อรองราคาที่เคยประสบผลสำเร็จมาแล้ว ลองประยุกต์ใช้กันดูนะคะ เรื่อง Basic ที่สุด “ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก” โดยคุณต้องใช้กระบวนการส่งตาหวาน โปรยเสน่ห์แต่พองาม พูดเพราะอย่างเป็นกันเอง ลูกอ้อน ลูกยอมีเท่าไรส่งทำงานให้หมด ถ้าคนขายพูดโน้มน้าวจงทำหูทวนลม ยิ่งเหตุผลเราฟังขึ้นด้วยแล้ว โอกาสได้ของสมใจก็มากขึ้น อย่าแสดงความสนใจออกนอกหน้า เพราะทำให้คนขายถือไพ่เหนือกว่า ทำเป็นไม่สนใจหยิบนั้นนิดหยิบนี่หน่อยรอบๆ เพื่อสำรวจความพึงพอใจของตนเองระยะไกล ความถี่ของการหยิบแต่ละครั้งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่มากตามไปด้วย ยิ่งชอบมากก็ต่อยากคะ ลองต่อของในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมากๆ เพื่อให้คนขายบอกผ่านราคาต่ำสุดแก่เรา ทำเช่นนี้แล้วจะทำให้คนขายเหนื่อยใจ เพราะเงินของหนูมีไม่ถึงจริงๆ ค่ะ ถ้าคนขายเสนอราคาที่ไม่น่าพึงพอใจลองต่อราคาแบบตัดใจ “จะขายไม่ขาย” ถ้าไม่ขายก็เดินออกร้าน แสดงความเชื่อมั่นในตนเอง คนขายมักง้อลูกค้า หากคนขายกลับเป็นฝ่ายต่อรองบ้างก็อย่าใจอ่อนค่ะ ยืนหยัดราคาเดิมเท่านั้น ถ้าคุณไม่ถูกใจมากๆ ก็ตัดใจเดินไปหาร้านข้างหน้าดีกว่า (แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทราแน่นอน) เมื่อเดินออกจากร้านเดิมแล้ว ร้านใหม่ที่ขายของชนิดเดียวกันเห็นพฤติกรรมของเราอาจเป็นฝ่ายเรียกเราเข้าร้านก็ได้นะ ยิ่งเห็นว่าเดินจากร้านศัตรูด้วยแล้วราคาก็จะลูกลงเองโดยอัตโนมัติไม่เชื่อลองดู บอกไปเลยราคาลดแล้ว 40 % ฟังดูอาจโหดไปนิดแต่ราคาแบบนี้มิตรภาพแล้วนะคะ ปกติซื้อของพกเครื่องคิดเลขมาตัดราคาที่ 60 % ค่ะ เพราะราคาต้นทุนจริงๆ ของสินค้าก็ราคาไม่เกินนี้หรอกค่ะ ก็หนูน่ะเคยไปโรงงานมาแล้ว เพื่อนสร้างความมั่นใจ จากคำ “ติ” ของเพื่อนให้คนขายได้ยินสัก 2 – 3 จุด แต่พองาม เพื่อให้เห็นว่าของชิ้นนี้ไม่ได้ดูดีไปหมดนะ และคำติของเพื่อนจะทำให้เราตัดใจได้ง่ายอีกด้วยค่ะ คนขายจะอ่อนใจกับกลุ่มคนซื้ออย่างเราเอง ซื้อของทีละหลายๆ ชิ้น จากการชักชวนเพื่อนๆ ที่ต้องการสินค้าประเภทเดียวกัน หรือเป็นของใช้ประจำของตนเอง เพราะเอื้อประโยชน์ในการต่อรองที่สูงขึ้น ให้เพื่อนเป็นคนต่อรอง เพื่อนที่มีฝีปากเยี่ยมยอดได้รับการนับถือจากเพื่อนฝูง ยิ่งประกวดโต้วาทีชนะเลิศด้วยแล้ว รับรองไม่มีพลาด สร้างความคุ้นเคยกับคนขาย อ้างว่าเคยมาบ่อย รู้จักกับเจ้าของร้านบ้าง เป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยหรือรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า รู้จักผ่านเพื่อน ผ่านแฟนบ้าง ความสนิทสนมเช่นนี้สามารถช่วยได้มากเช่นกันค่ะ เลือกเพื่อนที่หน้าตาดีสุด (ไม่จำกัดเพศ) ไปซื้อของแทนหรือช่วยต่อรองให้ คนขายจะหลงเสน่ห์ เคลิ้มและเผลอตัวในเวลาต่อมา แถมให้เบอร์โทรมั่วๆ ไปจะทำให้ราคาต่ำลงอีกมาก (สูตรนี้ต้องใช้ไหวพริบมากหน่อย) สำหรับในห้างสรรพสินค้าประเภทเสื้อผ้าที่มียี่ห้อ มีราคาตายตัวอยู่แล้วนั้น หยิบเอาสิทธิ์ของผู้ขายมาลดราคาสินค้าแก่เรา ซึ่งสามารถลดราคาแก่ลูกค้าได้ประมาณ 5-7 % เป็นอย่างต่ำ แต่สินค้าที่ลดราคาอยู่แล้วต่อไม่ได้นะคะ ในสินค้าประเภทเครื่องสำอางอาจใช้เทคนิคไม่ลดก็แจก เพราะสินค้าเสริมความงามนี้มีสินค้าทดลองใช้แจกสำหรับลูกค้าอยู่แล้ว หรืออาจเป็น gift set ชิ้นเล็กๆ แจกก็ได้ค่ะ ลองหยิบยกกลเม็ดเคล็ดลับข้างต้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่กระเป๋าเงินนะคะ ถึงเช่นนั้น “ปากเป็นเอกเลขเป็นโท” คงต้องปัดฝุ่นทางสีกันใหม่แล้วหละ ……. |
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม |
โดย: งาน: งานจัดซื้อ อ้างอิงแผนงาน : - อ้างอิงโครงการ : - แหล่งที่มา: บทความ โดย พัด ภัชรพันธ์ |
Vote | |
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อฉัน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |
มีประโยชน์ต่อทุกคน | ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ |