[ Home ]  [ Today 's Event ]  [ FAQ ]  [ บันทึกงาน ]
User: Passwd:
ค้นหาข้อมูล:

คำเทศนา ''ร้องเพลงสรรเสริญ''

 เมื่อใดก็ตามที่มีการประชุมของคริสเตียนจะต้องมีการร้องเพลงสรรเสริญ
พระเจ้า

      เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเพลงและนักร้อง ไม่ว่าเราจะมาจากเป็นชนชาติใด ประเพณีวัฒนธรรมใด ชนชั้นใด หรือวัยใด เราต่างนิยมชมชอบเสียงเพลง เสียงดนตรี หรือการร้องเพลงด้วยกันทั้งนั้น

      เราเคยสังเกตไหมว่าเด็กเล็กๆของเราต่างชื่นชอบเสียงเพลง เสียงดนตรี มาตั้งแต่แบเบาะ เขาจะให้ความสำคัญแก่เสียงเพลง เสียงดนตรี ให้ความสนใจมากเสียกว่าเสียงพูดของพ่อแม่ที่กำลังโอบอุ้มเขาอยู่เสียอีก อาจจะว่าเราปลูกฝังเสียงเพลงเสียงดนตรีให้เขาเป็นสิ่งแรกในความสนใจเขาเลย เรากล่อมเขาให้นอน เราร้องเพลงให้เขาฟัง เขาตั้งใจฟังและรู้สึกเป็นสุข เขาหลับสบาย 

      เสียงเพลงเสียงดนตรีมีอิทธิพลต่อชีวิตของเราอย่างมากจนบางทีไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร 
      มีชายคนหนึ่ง เขาเคยบอกรักใครต่อใครมามากมายเหมือนอย่างเราทุกคนที่เคยบอกรัก แต่คำบอกว่ารัก ก็งั้นๆแก่คนฟัง ผมรักคุณ ฉันรักเธอ ฉันก็รักเธอ พี่รักน้องนะ น้องก็รักพี่เหมือนกัน พ่อรักแม่ แม่ก็รักพ่อเหมือนกัน พ่อรักลูก ลูกก็รักพ่อเหมือนกันครับ ลูกสาวก็บอกกับแม่ว่า แม่ขาหนูรักคุณแม่ แม่ก็ตอบลูกว่า แม่ก็รักลูกเหมือนๆกัน อะไรทำนองนี้ จนกลายเป็นคำกล่าวติดปากที่ดูดี แต่ความหมายจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ก็ดูกันเอาเอง

      เหมือนกับที่เรากล่าวว่า ''พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์รักพระองค์'' เรากล่าวออกมาอย่างนั้นแหละให้รู้ว่ากล่าวแล้ว ร้องก็ร้องออกมาตามเนื้อร้อง แต่ไม่รู้ถึงความหมายแท้จริง เหมือนกับเราบอกรัก อย่างที่กล่าวมาแล้ว

      ถ้าเราบอกรักจากใจ จากความรู้สึก คำพูดเดียวกันนั้นแหละแต่น้ำเสียงด้วยความรู้สึกที่จากใจจริงๆ ทั้งผู้ที่กล่าวและผู้ที่ได้ยินจะมีความรู้สึกในความรักนั้น
แม่ขา ลูกรักแม่คะ พ่อขา ลูกรักคุณพ่อคะ ลูกขาพ่อรักลูก 

      ชายคนนั้นที่กล่าวมาข้างต้น เขาเป็นพยานว่า เขาบอกรักใครต่อใครมามาก ทั้งคนรักของเขา ลูกของเขา เพื่อนของเขา และพระเจ้าของเขา แต่ก็ด้วยความรู้สึกธรรมดา วันหนึ่งเขาเขามาในคริสตจักรอย่างเคย ในการประชุม เขาร้องเพลง 
I Love You Lord (Laurie Klein ได้แต่งเพลงบทนี้ในปี 1978ทั้งเนื้อร้องและทำนอง บอกถึงความรักพระเจ้า)
      เขามีความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมหมด I love you ครั้งนี้รู้สึกมันยิ่งใหญ่ มันซาบซ่านไปท่วมตัวท่วมใจ ทำให้เขารู้สึกว่า ทั้งกายทั้งจิตวิญญาณของเขา ได้รัก
และรักพระเจ้า อย่างที่อธิบายมาเป็นคำไม่ได้ ให้เราดูเนื้อเพลง 


I LOVE YOU LORD, AND I LIFT MY VOICE 
TO WORSHIP YOU OH, MY SOUL REJOICE.!
TAKE JOY, MY KING IN WHAT YOU HEAR, 
MAY IT BE A SWEET, SWEET SOUND IN YOUR EAR. 

ข้าฯรักพระองค์ ข้าฯเปล่งเสียงสรรเสริญ 
เทิดทูนพระนาม ด้วยจิตวิญญาณของข้าฯ
ขอทรงเมตตา สิ่งที่ข้าฯกระทำ
เป็นที่พอพระทัย ของพระองค์เจ้าของข้า

      ให้เรามาคิดดูซิว่า ถ้าไม่มีเสียงเพลง เสียงดนตรีเลย ในคริสตจักร ในบ้าน ในใจของเรา จะเป็นเช่นไร คริสตมาสปีนี้ ไม่มีเพลงคริสตมาส ที่บ้านไม่มีเสียงเพลงกล่อมลูกให้หลับ ไม่มีเพลงอื่นใดทั้งสิ้น เราเป็นเสมือนคนหูหนวกต่อเสียงเพลง เสียงดนตรี (บางทีขณะนี้หลายคนกำลังตอบว่าก็ดีนะซิ เราจะได้อยู่กันอย่างเงียบๆ)

      ข้าพเจ้าทราบดีว่ามีหลายคนไม่ชอบการร้องเพลง ไม่นานมานี้ ผมได้ฟังคำพยานของคริสตสมาชิกคนหนึ่งเขาบอกว่า เมื่อเขาเข้ามาในคริสตจักรใหม่ๆ เมื่อถึงเวลาร้องเพลง เขาก็ยืนขึ้นด้วยกับทุกคน และก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เขาร้องเพลงที่เราร้องกันไม่ได้ ร้องจบก็นั่งลง เดี๋ยวก็ร้องเพลงอีกแล้ว เขาคิดในใจว่า วันนี้จะต้องร้องกันกี่เพลง ร้องอะไรกันฟังไม่รู้เรื่อง 

      คุณอาจเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกอย่างนั้นเมื่อถึงเวลาร้องเพลงถวายสรรเสริญพระเจ้า ไม่อยากร้อง เพราะคิดว่าตนร้องไม่เป็น หรือด้วยเหตุใดก็ตาม อย่าให้เรามีเหตุอันใดที่ขัดขวางการร้องเพลงถวายสรรเสริญพระเจ้า 

      พระเจ้าทรงสั่งให้เราร้องเพลงถวายสรรเสริญพระองค์ในพระคัมภีร์ก็มีบันทึกว่า ให้เราร้องสรรเสริญพระเจ้า เพื่อเราจะมีสัมพันธภาพลึกซึ้งและ มั่นคงต่อพระองค์

      มีผู้หนึ่งกล่าวว่า ''เมื่อบุคคลที่ไม่เป็นคริสเตียน เมื่อเขากลับใจบังเกิดใหม่เข้ามาเป็นคริสเตียน เขาผู้นั้นไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงจะเป็นนักร้อง''

      ในพวกเรา มิใช่ทุกคนจะได้รับของประทานในเรื่องการฟังเสียงที่จะปรับเข้ากับดนตรี ไม่ได้รับของประทานเรื่องเสียงที่จะร้องคนเดียว ดังนั้นในการร้องเพลงของเราอาจดูเป็นการประสมเสียงแทนการประสานเสียง บางคนอาจร้องผิดไปบ้างในตัวโน๊ตกำกับดนตรีบางตัว ร้องกระโดดคำไป ไม่เห็นเป็นเรื่องน่าแปลกอะไร ตราบใดที่เราร่วมใจร้องเป็นการถวายพระเกียรติพระเจ้าสิ่งสำคัญที่สุดในการถวายสรรเสริญพระเจ้า คำถามมีอยู่ว่า


''ท่านมีเพลงในใจไหม มิใช่ท่านร้องเพลงเป็นไหม หรือมีเสียงที่จะร้องไหม?''

      คริสเตียนทุกคน ถูกสร้างใหม่ให้เป็นนักร้อง ที่จะร้องเพลงถวายสรรเสริญแก่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงพระชนม์เป็นนิตย์ของเรา

      มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์กว่า ๕๐๐ ครั้งถึงเรื่อง การร้องเพลงมีไม่น้อยกว่า ๕๐ ครั้งให้ร้องถวายสรรเสริญพระเจ้า

      สดุดี ๔๗ ข้อ ๖ '' จงร้องเพลงสรรเสริญถวายพระเจ้า จงร้องเพลงสรรเสริญเถิด จงร้องเพลงสรรเสริญถวายพระมหาราชาของเรา จงร้องเพลงสรรเสริญเถิด''

      ความเป็นจริง พระเจ้ามิได้สนพระทัยเพียงเฉพาะการที่เราสรรเสริญพระองค์ พระองค์มีพระประสงค์ให้เราร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ด้วย

      เมื่ออิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสไม่ได้กล่าวสุนทรพจน์ใดๆแก่ชนอิสราเอล ท่านโมเสส ร้องเพลงถวายสรรเสริญพระเจ้า จะว่าได้ว่า พระธรรมอพยพ ๑๕ เป็นเพลงนมัสการพระเจ้าแรกที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ต่อมากษัตริย์ดาวิด ตรัสสั่งให้ หัวหน้าตระกูลเลวี เป็นนักร้อง พระธรรม พงศาวดาร ๙ ข้อ ๓๓ และ๑๕ ข้อ๑๙-๒๒ ที่จะร้องสรรเสริญพระเจ้าทั้งวันและคืน นี่เป็นส่วนหนึ่งของพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เราห้อมล้อม ให้เราชุมนุมกันต่อพระพักตร์พระองค์ เพื่อร้องเพลงสรรเสริญพระองค์

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ มีเรื่องราวบันทึกถึงเรื่องดนตรีถวายสรรเสริญพระเจ้า ไม่น้อยกว่า ๒๐ ครั้ง ส่วนมากจะเป็นการร้องเพลง เราจำได้ไหม หลังจากอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู พระองค์ทรงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยกันกับเหล่าสาวก 

ในพระธรรมกิจการ ๑๖ อ.เปาโล และซีลา ถูกคุมขังไว้ในเรือนจำ อ่อนเพลียและบาดเจ็บจากการโบยตี แต่สิ่งที่ทั้งสองกระทำในยามทุกข์ยากลำบากนั้น ทั้งสองอธิษฐานและร้องพลงสรรเสริญพระเจ้า ให้ผู้ต้องขังอื่นๆฟัง

ในพระธรรมวิวรณ์ อัครทูตยอห์น ให้ภาพของการร้องเพลงสรรเสริญรอบพระที่นั่งของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พลังที่รวมกันของทูตสวรรค์ ของผู้ที่รับความรอดปรากฏที่หน้าพระที่นั่งร้องเพลงถวายสรรเสริญพระองค์ 

      มีนักศาสนาศาสตร์ผู้หนึ่งกล่าวว่า คริสตจักรเริ่มต้นด้วนเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าแต่เป็นที่น่าสังเกตว่า คริสตจักรที่เริ่มด้วยเพลงสรรเสริญได้ถูกเปลี่ยนไป ในระหว่างปี คศ. ๖๐๐ ถึง ๑๕๐๐ การร้องเพลงสรรเสริญในคริสตจักรกลับกลายเป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบของนักร้องประจำคริสตจักร ที่ประชุมมานั่งมีโอกาสร้องบ้างเป็นตอนๆ เป็นครั้งคราว เพลงสรรเสริญจึงขาดหายไปจากชีวิตของการเป็นคริสเตียน

จนกระทั่งมาถึงศตวรรษที่ ๑๖ (คริสตจักรปิดกั้นคริสตสมาชิกไม่ให้ร้องเพลงอยู่ถึง ๙๐๐ ปี)       เมื่อพระเจ้าได้ให้ชายคนหนึ่งที่มีนามว่า มาร์ติน ลูเธอร์ ลุกขึ้นมาต่อต้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องหลายอย่างของคริสตจักรในเวลานั้น ให้กลับมาถูกทาง ความรอดนั้นต้องมาจากความเชื่อและพระคุณของพระเจ้า มิใช่ด้วยการกระทำของมนุษย์ ท่านได้ให้เพลงนมัสการพระเจ้ากลับเข้ามาสู่ชีวิตของคริสเตียนทุกคนอีกครั้ง ให้ทุกคนมีส่วนที่จะร้องเพลงถวายพระเกียรติของพระเจ้าร่วมกัน
ลูเธอร์ ได้เขียนเพลงนมัสการไว้อย่างน้อย ๓๗ บท เพลงหนึ่งที่นิยมร้องมาก คือ ''พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการ ทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่'' ท่านได้นำบรรดาสมาชิก
คริสตจักรออกจากความเงียบที่ขาดการสรรเสริญพระเจ้า ท่านกล่าวว่า 

''ให้พระเจ้าตรัสโดยตรงต่อประชากรของพระองค์ผ่านทางพระวจนะ และให้ประชากรของพระองค์ตอบสนองพระโองการของพระเจ้าด้วยใจถ่อมสุภาพ ถวายพระเกียรติพระองค์ด้วยเสียงเพลง''

ทำไมเราต้องร้องเพลงถวายสรรเสริญพระเจ้า
      เป็นคำถามที่เราควรพิจารณา เมื่อเราไม่เข้าใจถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ เราก็ไม่ได้ร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดี เราก็ไม่ได้อะไรจากการถวายสรเสริญพระองค์ และสิ่งที่สำคัญยิ่ง พระเจ้าก็มิได้รับการสรรเสริญจากการร้องเพลงของเรา

โคโลสี ๓ ข้อ ๑๒ - ๑๗ '' เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปราณี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์ และจงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจของท่าน พระเจ้าทรงเรียกท่านไว้ให้เป็นกายเดียวกัน เพื่อสันติสุขนั้น และท่านจงมีใจกตัญญู จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญด้วยใจโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของ
พระเยซูคริสต์เจ้า และขอบพระคุณพระบิดาเจ้าโดยพระองค์นั้น''

เราจะเห็นว่าพระธรรมตอนนี้กล่าวว่า เรามิได้เป็นคนเก่าอีกต่อไปเมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนใหม่ เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนที่พระองค์ทรงรัก เป็นเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ เกิดใหม่ดังนั้นทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่หมดสิ้น 

ก่อนการเป็นคริสเตียน เรารู้สึกอย่างไรในการร้องเพลงสรรเสริญ มาบัดนี้ความรู้สึกเช่นนั้นก็เปลี่ยนไป เราเคยไม่ชอบการร้องเพลง บัดนี้เรามีเพลงอยู่ในชีวิต อยู่ในจิตใจ เราร้องเพลงด้วยใจชื่นชมยินดีไหม เมื่อเราเข้ามาพร้อมกันในคริสตจักร เรามีไม่ได้ร้องคนเดียว ทุกคนร่วมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เราทุกคนได้รับคำสั่งจากพระวจนะให้เราทุกคน จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดี  เพลงนมัสการ  และเพลงสรรเสริญด้วยใจโมทนาขอบพระคุณ 
พระเจ้า เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตามจงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า และขอบพระคุณพระบิดาเจ้าโดยพระองค์นั้น''

พระเจ้าทรงรักเราทุกคน ทรงเลือดสรรเราแต่ละคนโดยเฉพาะให้มาเป็นบุตรของพระองค์ นี่เป็นพระคุณ นี่เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ในพระทัยพระเจ้า ที่เราจะต้องสำนึก เราจะต้องรักพระองค์และสนองต่อพระกรุณาคุณยิ่งใหญ่ของพระองค์ด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ

ให้ชีวิตประจำวันของเรา ร้องเพลงสรรเสริญพระคุณและความยิ่งใหญ่ของพระองค์
ให้ชีวิตประจำวันของเรา ภาวนา อธิษฐาน สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า
ให้ชีวิตประจำวันของเรา ชื่นชมยินดีในการคุ้มครอง ในการเลี้ยงดูของพระองค์ 
ขอพระคุณของพระเจ้าค้ำจุนหนุนนำชีวิตของเราแต่ละคน ให้ทุกย่างก้าวมั่นคงและปลอดภัย
ขอพระเจ้าผู้มั่งคั่งด้วยสิ่งดีงามทุกประการ ประทานสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตแก่ทุกคนอย่างเพียงพอและทันเวลา
ให้เราทุกคนสำนึกในพระคุณของพระองค์





ดูรายละเอียดเพิ่มเติม


โดย:
งาน: งานอภิบาล
อ้างอิงแผนงาน : -
อ้างอิงโครงการ : -
แหล่งที่มา: ศจ.สุรพล ภูประพันธ์ ศิษยาภิบาลอาวุโส คริสตจักรที่สอง สามย่าน

ขอบคุณสำหรับการโวตท์
Vote
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง
เป็นประโยชน์ต่อฉัน
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน
มีประโยชน์ต่อทุกคน
บุคลากร 0 บุคคลภายนอก 2

อ่าน 0 ครั้ง