[ Home ]  [ Today 's Event ]  [ FAQ ]  [ บันทึกงาน ]
User: Passwd:
ค้นหาข้อมูล:

สธ.ค้านขายถุงยางในสถานศึกษา

สธ. เตรียมลุยตั้งเครื่องจำหน่ายถุงยางในสถานศึกษา ไม่สนเสียงวิจารณ์ วอนสังคมยอมรับความจริง เพื่อการแก้ปัญหาเอดส์ ด้านศึกษาฯ แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย อ้างเป็นการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ ชี้ สถานศึกษาไม่ใช่แหล่งมั่วสุมทางเพศ ข้องใจ สธ.ทำเพื่ออะไร ?อดิศัย? ขอคุยกับผู้ใหญ่ และนักศึกษาก่อน หวั่น เป็นดาบสองคม ชี้นำให้เด็กประพฤติมิชอบ ขณะที่ ''ดูเร็กซ์'' เผยวิจัยคนไทยยังเสี่ยงเอดส์ เหตุคน 80% ปิดบังความจริงเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง 

แนวคิดในการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะให้มีการติดตั้งจำหน่ายถุงยางอัตโนมัติตามสถานบันเทิง ศูนย์การค้า หรือแม้แต่สถานศึกษาโดยเฉพาะในห้องน้ำหญิงและชาย ดูจะไม่สดใสเสียแล้ว เมื่อกระทรวงศึกษาธิการมีทีท่าว่าไม่เห็นด้วยโดยอ้างถึงความไม่เหมาะสม 

น.พ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวระหว่างการเดินดูงานด้านเอดส์ที่โรงพยาบาลเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ว่า ข้อมูลผู้ติดเชื้อเอดส์ในพื้นที่ อ.เชียงดาว ไม่แตกต่างจากภาพรวมของทั้งประเทศ ที่ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย อย่างไรก็ดี สถานการณ์โรคเอดส์ขณะนี้ดีขึ้นมาก โดยมีแนวโน้มลดลงจากปีละ 140,000 ราย ในช่วงปี 2530 เหลือเพียง 21,000 ราย ในปีที่ผ่านมา รายงานล่าสุดพบว่า มีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 600,000 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์มากกว่าร้อยละ 83 ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ 

''ที่ผ่านมาตัวเลขของผู้ใช้ถุงยางในสถานบริการถือว่าประสบผลสำเร็จ เพราะมีผู้ใช้ถึง 97% แต่ในกลุ่มนอกสถานบริการยังมีน้อยมากเพียง 24% เท่านั้น ดังนั้น ทาง สธ.จะให้มีการติดตั้งจำหน่ายถุงยางอัตโนมัติตามสถานบันเทิง ศูนย์การค้า หรือแม้แต่สถานศึกษาโดยเฉพาะในห้องน้ำหญิง และห้องน้ำชาย ขณะนี้ได้ประสานงานไปยังกระทรวงศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว'' น.พ.จรัล ระบุ

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า การจำหน่ายถุงยางอัตโนมัติเป็นมติคณะกรรมการเอดส์ชาติปี 2545 มีหนังสือจาก รมว.มหาดไทย ไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งมีการประสานไปยังภาคเอกชนเพื่อให้มีการติดตั้งตามสถานที่เหมาะสม เนื่องจากปัจจุบันพบว่ากลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้ออยู่ในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น โดยในส่วนของสถานศึกษาจะติดตั้งในระดับอุดมศึกษา โดย สธ.จะประสานไปยังเอกชนเพื่อให้ลดราคาถุงยางมาเหลือ 2 ชิ้น 5 บาท จากเดิม 20 บาทด้วย 

พร้อมกันนี้ น.พ.จรัล ยังกล่าวถึงกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์กลุ่มใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสนใจ คือ เด็กกำพร้าที่พ่อแม่เสียชีวิตจากโรคเอดส์ ซึ่งมีจำนวนกว่า 200,000 ราย โดย สธ.ได้จัดทำโครงการขอรับการสนับสนุนจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเด็กกำพร้าเหล่านี้แล้ว

ด้าน นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาฯ (ศธ.) กล่าวว่า จะต้องมีการหารือกันก่อนในระดับผู้ใหญ่และนักศึกษา ทั้งนี้ เขาเข้าใจเรื่องความร่วมมือการทำงานและการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละกระทรวง แต่ยังมีความห่วงใยว่า ในเรื่องถุงยางอนามัยนั้น แม้ปัจจุบันจะไม่ใช่เรื่องปกปิด แต่หากมุ่งป้องกันโรคเอดส์มากเกินไป ก็อาจกลายเป็นการชี้นำสำหรับกลุ่มเยาวชนได้เช่นกัน

''ทำอะไรต้องให้เกิดความพอดีไม่ใช่ล้ำเส้นเกินไป ซึ่งการหาจุดตรงกลางพอดีก็เป็นเรื่องลำบาก แม้ว่าถุงยางอนามัยปัจจุบันไม่ใช่เรื่องปกปิด และใช้กันอยู่เป็นประจำ ส่วนผู้ที่จะหาวิธีป้องกันโรคเอดส์ก็ต้องดำเนินการ แต่ป้องกันมากเกินไปก็จะเป็นการชี้นำ''

หนุนให้การศึกษาดีกว่ามุ่งขายถุงยาง

นางสิริกร มณีรินทร์ รมช.ศึกษาฯ กล่าวส่วนตัว เห็นว่า ยังไม่ควรนำเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติไปตั้งในสถาบันการศึกษา เพราะเชื่อว่าในสายตาครูผู้หญิงก็คงทำใจไม่ได้ และอันที่จริงถุงยางอนามัยก็หาซื้อได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้ออยู่แล้ว จึงเห็นว่าสถาบันการศึกษาควรเป็นแหล่งประเทืองปัญญามากกว่าเป็นแหล่งส่งเสริมกิจกรรมทางเพศ จึงอยากตั้งคำถามว่า จะอำนวยความสะดวกในเรื่องเหล่านี้ในสถาบันการศึกษาไปเพื่ออะไร 

เช่นเดียวกับ ศ.ดร.วรเดช จันทรศร เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ยังไม่เคยได้รับการประสานงานเรื่องดังกล่าวจาก สธ.เลย และยังไม่ทราบว่าการที่จะนำเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติไปตั้งในมหาวิทยาลัยมีวัตถุประสงค์ใด แต่ก็อยากฝากให้ดูว่าเรื่องนี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุหรือปลายเหตุ ส่วนตัวเห็นว่าการป้องกันควรให้การศึกษา เพื่อให้คนเกิดความเข้าใจ ไม่ใช่อยู่ที่การเอาถุงยางอนามัยไปวางขาย 

''คงต้องหารือถึงวัตถุประสงค์ที่แน่นอนก่อนว่า ต้องการความร่วมมืออะไร และหากจะมีการติดตั้งจริงมหาวิทยาลัยก็จะเป็นผู้พิจารณา ที่สำคัญผมอยากให้มีการสอบถามนักศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายก่อนว่าเด็กต้องการหรือไม่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน'' เลขาธิการ กกอ.กล่าว



ด้าน นายณัฐพล สมาน นักศึกษาชั้นปี 4 คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยเพราะจะยิ่งเป็นการสร้างค่านิยมให้เด็กไทยเห็นว่าเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมดา ทั้งที่วัฒนธรรมสังคมไทยยังมองว่าเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับวัยรุ่น 



ชี้คนไทย 8 ใน 10 คนไม่ซื่อสัตย์



ขณะเดียวกัน ถุงยางอนามัยดูเร็กซ์ ได้จัดโครงการสำรวจ ''ดูเร็กซ์ โกลบอล เซ็กซ์ เซอร์เวย์'' ปี 2546 ในส่วนที่ 2 เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของคนทั่วโลกที่ตอบแบบสำรวจทางออนไลน์จำนวน 1.5 แสนคน และเป็นคนไทยกว่า 4 พันคน



นายลี เทย์เลอร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอสเอสแอล เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัย ดูเร็กซ์ เปิดเผยว่า คนทั่วโลกที่ตอบแบบสอบถามจำนวน 55% ยินยอมบอกกับคู่ครองว่าตนเองเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยผู้หญิงมีการยอมรับมากกว่าผู้ชาย และประเทศที่มีการเปิดเผยในเรื่องนี้มากที่สุด คือ ชาวอเมริกัน ที่มีสัดส่วนสูงถึง 85% ส่วนประเทศไทย ปรากฏว่า มีเพียง 20% เท่านั้นที่ยอมเปิดเผย



นอกจากนี้ คนไทยยังทำลายสถิติด้วยคะแนนเฉลี่ยสูงสุดในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ โดยพบว่า 8 ใน 10 คน หรือคิดเป็น 86% จะปิดบังความจริงกับคู่ของตน กรณีที่เคยนอกใจหรือไม่ซื่อสัตย์ และยังพบว่า ผู้หญิงไทยที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี มีแนวโน้มที่จะนอกใจหรือไม่ซื่อสัตย์กับคู่ของตนมากที่สุด ทั้งนี้ ความซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง ถือเป็นวิธีการป้องกันการติดโรคเพศสัมพันธ์และเอดส์ ซึ่งจากการสำรวจพบว่า คนทั่วโลกใช้วิธีนี้เป็นอันดับ 2 รองจากการใช้ถุงยางอนามัย 


สำหรับประเทศไทย จากแบบสมอบถาม 97% เลือกที่จะป้องกันตนเองจากการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และ 50% เชื่อว่า การซื่อสัตย์เป็นวิธีที่ดีที่สุด ขณะที่การใช้ถุงยางอนามัยกับคู่นอนใหม่ทุกครั้งคิดเป็น 47% โดยพบว่า กลุ่มชายอายุ 16-20 ปี จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดในการติดเชื่อเอชไอวี เนื่องจาก 67% ปฏิเสธที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนใหม่โดยไม่ใช่ถุงยางอนามัย



การสำรวจในครั้งนี้คนไทย 22% รอที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่ของตนเมื่อตกลงอยู่ร่วมกันหรือแต่งงานกัน ขณะเดียวกัน มีจำนวน 38% ยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักใหม่ที่รู้จักกันภายใน 1 เดือน และผู้ชายไทยจำนวน 33% พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ในคืนแรกที่รู้จักกัน ในขณะที่ผู้หญิงไทยเพียง 2% ที่เห็นตรงกันกับผู้ชายไทยในเรื่องนี้






ดูรายละเอียดเพิ่มเติม


โดย:
งาน: งานนโยบายและแผน
อ้างอิงแผนงาน : -
อ้างอิงโครงการ : -
แหล่งที่มา: กรุงเทพธุรกิจ ฉบับที่ 5543 [หน้าที่ 20 ] ประจำวันที่ 26 พฤศจิกายน 2546

ขอบคุณสำหรับการโวตท์
Vote
เป็นประโยชน์ต่อผู้โพสต์เอง
เป็นประโยชน์ต่อฉัน
เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน
มีประโยชน์ต่อทุกคน
บุคลากร 0 บุคคลภายนอก 0

อ่าน 0 ครั้ง